สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา
ep.34 พลิกโฉมโรงเรียนตาม Trend Internet of Things (IoT)
เพราะโลกของห้องเรียนไม่ใช่แค่กระดานดำกับหนังสือเรียนอีกต่อไปแล้ว ยุคสมัยมีการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับสถาบันการศึกษา กระบวนการเรียนรู้ในปัจจุบันจึงปรับไปตาม Trend Internet of Things (IoT)[1] ที่ทำให้ห้องเรียนเชื่อมต่อกันด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ ส่งเสริมให้วิธีการเรียนรู้ของนักเรียน วิธีการสอนของครู และการดำเนินการของโรงเรียนมีศักยภาพมากขึ้น เช่น นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองผ่าน Google หรือคุณครูนำการใช้สื่อดิจิทัลและคลิปการสอน มีการหนังสือในรูปแบบ e-Book การจัดการสอนด้วยสื่อ 3D (Virtual Reality & Augmented Reality) หรือนำ AI มาใช้กับห้องเรียนมากขึ้น เป็นต้น
ประโยชน์ของการมี Internet of Things (IoT) ในการเรียนการสอน
- ยกระดับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
การมีความพร้อมทางด้าน IoT ช่วยยกระดับการสอนในห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะมาพร้อมกับแนวทางการสอนที่หลากหลาย เช่น คลิปการสอน สไลด์การสอนที่มีความรู้น่าสนใจ ตำราเรียนในรูปแบบ e-Book ที่ปัจจุบันมีการใส่สื่อเสริมความรู้ แบบฝึก ใบงาน การบ้าน ลงไปในรูปแบบ QR Code เป็นแหล่งความรู้เพิ่มเติมที่ให้นักเรียนสแกนผ่านอุปกรณ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย หรือคุณครูสร้างปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนได้ผ่านกระดานโต้ตอบและไฮไลต์ดิจิทัลต่าง ๆ เช่น Kahoot Padlet หรือ Google Jamboard เป็นต้น สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับนักเรียนในการโต้ตอบหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนและครูในห้องเรียนทั้งแบบ On Site และ Online
- แบ่งเบาภาระงานครูได้มากขึ้น
ยกระดับงานเอกสารและการเตรียมการสอนของครูให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นง่ายต่อการเตรียมการสอนของครู ไม่ต้องแปลงข้อมูลให้เป็นออฟไลน์แต่สามารถเลือกใช้สื่อสำเร็จรูปต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตประกอบการสอนได้ทันที ตัวอย่างเช่น สื่อ 3D หรือ Simulation ที่มาพร้อมกับหนังสือเรียน หรือช่วยในการออกแบบหลักสูตร การให้คะแนนเอกสาร การสอน และติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองได้ง่ายขึ้น ผ่านข้อมูลของเด็ก ๆ ที่ถูกเก็บไว้ผ่านการทำกิจกรรมออนไลน์ในการเรียนรู้
- ระบบการเรียนรู้ส่วนบุคคล
การใช้งานระบบต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนและพฤติกรรมของนักเรียนได้โดยที่ครูไม่ต้องลงมือทำและวิเคราะห์เองเป็นรายคน สามารถสร้างหลักสูตรเฉพาะที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคนได้ ช่วยให้ระบุปัญหาที่แต่ละคนต้องการความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น และปรับการสอนให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละคนได้
- ช่วยในการวางแผนหลักสูตรและวางแผนบริหาร
มีข้อมูลที่แม่นยำตั้งแต่ผลการเรียนของนักเรียนไปจนถึงการเข้าชั้นเรียน ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนเพิ่มเติมได้เพื่อปรับปรุงและสร้างกลยุทธ์ให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ แก่นักเรียน
- สำรวจความปลอดภัยของนักเรียนได้รอบด้าน
ความปลอดภัยของนักเรียนถือเป็นสิ่งสำคัญในโรงเรียน ในหลายโรงเรียนที่มีระบบ IoT ดี ๆ เช่น RFID เซนเซอร์ที่เสริมประสิทธิภาพ กล้อง และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ทำให้สามารถตรวจสอบอาคารทั้งหลังได้
สามารถให้ผู้ปกครองเข้ามาดูกล้องวงจรปิดออนไลน์เพื่อดูลูกหลานของตนเองได้เลย นอกจากนี้ยังระบบการแจ้งเตือนและการดำเนินการที่กำหนดค่าได้ เช่น ตรวจสอบสัญญาณไฟหรือตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับโรงเรียนได้อย่างมาก
โรงเรียนต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรองรับ Internet of Things (IoT)
- การบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ
ในการทำโรงเรียนให้เป็นระบบ IoT สิ่งสำคัญคือเรื่องความพร้อมของระบบอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ในการใช้งาน เช่น ระบบ HVAC อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ โรงเรียนจึงต้องลงทุนในระดับสูงและต้องมีแนวทางเชิงรุกในการบำรุงรักษาเพื่อป้องกันความเสียหายและคำนึงถึงต้นทุนด้านพลังงานต่าง ๆ อีกด้วย
- การติดตามทรัพย์สิน
ควรมีระบบเพื่อติดตามตำแหน่งและสถานะของทรัพย์สิน เช่น แล็ปท็อป แท็บเล็ต และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ อย่างจริงจังเพื่อช่วยลดการสูญหายหรือการโจรกรรมและทำให้การจัดการอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การขนส่งและความปลอดภัยของนักเรียน
ในต่างประเทศมักมีรถบัสรับส่งจากโรงเรียนที่ใช้เทคโนโลยี IoT สามารถติดตามและสื่อสารกับผู้ปกครองได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะปลอดภัยระหว่างการเดินทางและยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยคำนวณประสิทธิภาพการใช้เส้นทางและการใช้เชื้อเพลิงอีกด้วย ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้กับบางสถานศึกษาที่มีรถรับส่ง
- ระบบรักษาความปลอดภัยคุณภาพสูง
ในยุคดิจิทัลแบบนี้สิ่งที่สำคัญที่อันตรายต่อทรัพย์สินของผู้คนอย่างมากคือเรื่องของการโจรกรรมผ่านอินเทอร์และมิจฉาชีพในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้การโรงเรียนที่นำระบบ IoT เข้ามาใช้ต้องมีโปรแกรมที่รักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อป้องกันข้อมูลต่าง ๆ ของนักเรียนและผู้ปกครอง
ข้อจำกัดของโรงเรียนไทยกับรูปแบบของ Internet of Things (IoT)
ถึงแม้การใช้ IoT ในห้องเรียนจะมีประโยชน์มากแต่การลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงเรียนก็สูงไปด้วย ยิ่งในไทยบางโรงเรียนอาจค่อย ๆ ปรับใช้ได้ แต่บางโรงเรียนยังคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำยิ่งกว้างมากขึ้น เพราะคุณภาพการศึกษาของเด็กแต่ละแห่งแตกต่างด้วยฐานะ สภาพสังคม หรือความห่างไกลของพื้นที่โรงเรียน ยังไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์ราคาแพง เพียงแค่จุดบริการของอินเทอร์เน็ตเพื่อความเสถียรต่อการใช้งานหรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นหนึ่งในช่องว่างที่กระทบต่อการศึกษาในรูปแบบ IoT ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มเด็กยากจนพิเศษ (นักเรียนจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุดของประเทศ) จากการสำรวจและวิเคราะห์การใช้จ่ายด้านอินเทอร์เน็ตของนักเรียนทุนเสมอภาคในปี 2564 (กสศ.)[2] พบว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถเข้าถึงการเรียนในรูปแบบที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตได้ คือ
- การไร้เน็ตบ้าน 66% เนื่องจากมีค่าติดตั้งเพิ่มเติม บริการไปไม่ถึงพื้นที่ห่างไกล ต้องใช้ไฟฟ้าและเอกสารในการดำเนินงานซึ่งบางบ้านไม่มีในส่วนนี้
- การไร้อุปกรณ์ 71% เนื่องจากในกลุ่มนักเรียนยากจนพิเศษใช้โทรศัพท์มือถือในการเรียนรู้และมีไม่ถึง 5% ที่มีแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ทำให้ไม่สามารถรับประสบการณ์เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
- การไร้เงินเติมเน็ต เนื่องจากครอบครัวมีรายได้น้อย 17% ของรายได้ครัวเรือนเป็นค่าเติมเงินมือถือซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าครอบครัวนักเรียนทั่วไปถึงเกือบ 4 เท่า
ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีการแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยจุดไวไฟฟรีจากโครงการเน็ตประชารัฐและอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านจากสำนักงาน กสทช. พร้อมให้บริการ 36,183 หมู่บ้าน จาก 73,939 หมู่บ้าน ใน 878 อำเภอทั่วประเทศ ไม่รวมกรุงเทพฯ (ข้อมูลเมื่อ 31 ธันวาคม 2565) แต่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักเรียนบางกลุ่มยังคงมีอีกหลายตัวแปรที่ควรคำนึง ทั้งความไกล-ใกล้ที่พักอาศัยของนักเรียน การแบ่งการใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกับประชากรกลุ่มอื่น คุณภาพของสัญญาณอินเทอร์เน็ต และพื้นที่ภูมิศาสตร์อาจส่งผลกระทบต่อความเสถียรของอินเทอร์เน็ต อาจทำให้เน็ตหลุดหรือเน็ตหายเป็นผลกระทบโดยตรงถึงประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย
แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ของการนำระบบ IoT มาปรับใช้กับโรงเรียน สร้างห้องเรียนอัจฉริยะช่วยพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างดี แต่การนำมาปรับใช้กับโรงเรียนไทยเรายังคงต้องวางแผนและใช้การลงทุนอย่างมาก คุณครูคิดว่าโรงเรียนของคุณครูจะสามารถนำระบบนี้มาปรับใช้ได้ในอีกกี่ปีและควรมีอะไรที่ IoT ช่วยตอบโจทย์การทำงานของคุณครูเพิ่มเติมนอกจากในบทความนี้อีกบ้าง ลองมาแลกเปลี่ยนไปด้วยกันกับอัตนัยครับ
อ้างอิง
https://www.linkedin.com/pulse/transforming-education-internet-things-classroom-nvitech
https://www.linkedin.com/pulse/role-iot-education-future-keshav-maun
https://www.linkedin.com/pulse/role-internet-things-changing-education-system-ravi-ranjan
https://edly.io/blog/iot-in-education-main-solutions-iot-brings-to-education/