3 เสาหลักแห่ง PISA
การศึกษาเป็นหัวใจสำคัญการพัฒนาประเทศมากทุกยุคสมัย นั่นจึงทำให้การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนทั่วโลกเป็นสิ่งที่จำเป็น
PISA หรือ Programme for International Student Assessment เป็นโครงการที่จัดทำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) โดยมีวัตถุประสงค์ในการประเมินสมรรถนะของนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศต่าง ๆ ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ PISA นับว่าเป็นการประเมินที่สำคัญในระดับโลก เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับคุณภาพของการศึกษาในแต่ละประเทศ และยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถวางแผนพัฒนาการศึกษาในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศไทยเอง ผลการประเมิน PISA ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนไทย และยังเป็นตัวชี้วัดที่สามารถนำไปสู่การวางนโยบายและการพัฒนาระบบการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจและเห็นความสำคัญของสมรรถนะความฉลาดรู้ทั้ง 3 ด้าน จะช่วยให้เราสามารถเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต
เสาหลักที่ 1 ของ PISA : Reading Literacy
ในบริบทของ PISA คือ ความสามารถในการเข้าใจและตีความข้อมูลจากข้อความที่อ่าน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การอ่านตัวหนังสือ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ ตีความ และประเมินข้อมูลที่ได้รับอีกด้วย ทักษะนี้เป็นหัวใจสำคัญในการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ ซึ่งข้อสอบประเภท Reading Literacy ที่นักเรียนจะได้ทำประกอบด้วยข้อความหรือบทความจากหลากหลายสื่อด้วยกัน เช่น หนังสือพิมพ์ บทความวิชาการ หรือเรื่องสั้น นักเรียนจะถูกถามให้วิเคราะห์และตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาของข้อความ เช่น การระบุใจความสำคัญ การตีความความหมายแฝง หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหา ซึ่งเหตุผลที่ Reading Literacy เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบระดับนานาชาตินี้ก็เพราะว่า ทักษะการอ่านที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจบทเรียนในวิชาอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังมีผลต่อการพัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา รวมไปถึงเป็นทักษะพื้นฐานเพื่อต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นต่อไป
เสาหลักที่ 2 ของ PISA : Mathematical Literacy
ว่าด้วยความสามารถในการใช้ความรู้คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน และการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเสมอไป แต่ยังรวมถึงการคิดเชิงตรรกะ การวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ โดยข้อสอบ PISA ที่ใช้ประเมิน Mathematical Literacy นั้นมักจะมีรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์จริงรอบตัว เช่น การคำนวณต้นทุนในการซื้อตั๋วเครื่องบิน การวิเคราะห์กราฟที่แสดงการเติบโตของประชากร หรือการแก้ปัญหาเชิงตรรกะที่ซับซ้อน
เสาหลักที่ 3 ของ PISA : Scientific Literacy
ความสามารถในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และการประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านี้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการสอบในด้านนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ในสถานการณ์จริง เช่น การอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลอง หรือการตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นทางวิทยาศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อสังคม นักเรียนจะต้องสามารถเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับสถานการณ์จริงได้
สำหรับประเทศไทย ผลการประเมิน PISA ในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในระบบการศึกษา จากข้อมูลล่าสุดในการทดสอบ PISA 2018 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทยในทั้งสามด้านยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD โดยมีคะแนนการอ่าน 393 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 487 คะแนน) คณิตศาสตร์ 419 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 489 คะแนน) และวิทยาศาสตร์ 426 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 489 คะแนน) แม้ว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลการทดสอบในปีก่อนหน้า แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน
ก็แค่การสอบ PISA 1 ครั้ง มันสำคัญแค่ไหน ?
การศึกษาของ OECD (2023) ยังพบว่า ประเทศที่มีคะแนน PISA ด้านคณิตศาสตร์สูงมักจะมีสัดส่วนของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากกว่า ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งมีคะแนน PISA ด้านคณิตศาสตร์สูงอย่างต่อเนื่อง ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนน PISA ด้านคณิตศาสตร์และการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้เป็นเส้นตรงหรือเป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งเสมอไป มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายเศรษฐกิจ สถาบันทางการเมือง และปัจจัยทางภูมิศาสตร์ การศึกษาของ Pritchett (2019) เตือนว่าเราไม่ควรตีความความสัมพันธ์นี้อย่างง่ายเกินไป และควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
ขอบคุณข้อมูล
https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0161893819300286