สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา ep.32 ยกศักยภาพการศึกษา พัฒนาครูให้ก้าวทันโลก

A A
Sep 3, 2024
Sep 3, 2024
A A

สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา ep.32

ยกศักยภาพการศึกษา พัฒนาครูให้ก้าวทันโลก

 

 

   ประชากรโลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงของผู้สูงอายุตลอดมา มีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 ทั่วโลกจะมีประชากรอายุ 60 ปีจำนวนกว่า 1,400 ล้านคนและในอนาคตอาจมีเพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านคนในปี 2050[1] มากกว่าอัตราของผู้มีอายุ 10-24 ปีเสียอีก 

   ปัญหาของผู้สูงอายุที่นอกจากเรื่องของสุขภาพ การเรียนรู้ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ไม่ควรถูกมองข้ามไปเพราะช่วงเวลาของการเรียนรู้ถูกขยายกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ (NCES) ในปี 2021 พบว่าชาวอเมริกันวัย 50 ปีขึ้นไปกว่า 550,000 คนลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรระดับอุดมศึกษาเนื่องจากต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ต้องการความก้าวหน้าทางอาชีพของตนเองไปจนถึงเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

 

ข้อสังเกตที่น่าสนใจของข้อมูลนี้คือผู้สูงอายุส่วนมากมักเกษียณจากการทำงานในช่วง 55-60 ปี แต่ทำไมชาวอเมริกันวัย 50 ปีขึ้นไปเหล่านี้ยังคงเข้าเรียนเพื่อพัฒนาอาชีพของตน 

 

   จากข้อมูลของ OECD[2] พบการเปลี่ยนแปลงของอายุแรงงานที่น่าตกใจคือตลาดแรงงานทั่วโลกกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเลขของผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจพบว่ามีหลายประเทศที่ได้เริ่มขยับช่วงอายุเกษียณงานแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร เดิมทีให้เกษียณอายุในช่วง 60-65 ปี คือผู้หญิง 60 ปีและผู้ชาย 65 ปี แต่ตอนนี้ขยับเป็นทั้งสองเพศเกษียณอายุ 66 ปีเท่ากันโดยใช้ความเท่าเทียมทางเพศเป็นบรรทัดฐาน นอกจากนี้ยังพบอีกว่าในกลุ่มประเทศ 7G (แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐ) จะมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานที่อายุมากกว่า 55 ปี กว่า 25% ในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมจากปี 2011 เกือบ 10% ในกรณีตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือญี่ปุ่นที่ถูกคาดการณ์ว่าแรงงานอายุมากกว่า 55 ปีจะเพิ่มขึ้น 40% ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศในปี 2031

 

ข้อมูลที่พูดถึงในบทความนี้กำลังบอกอะไรกับคุณครู? 

 

   ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณครูบางส่วนกำลังจะมีช่วงเวลาในการเกษียณอายุที่ถูกขยับเพิ่มขึ้นในอนาคต จากสถิติการเกษียณอายุราชการของครูไทย[3] พบว่าทุกปีมีครูเกษียณอายุมากกว่า 2 หมื่นคนแต่จำนวนจ้างครูทุกปีมีไม่เท่ากับจำนวนของครูที่ออกไป มีการคาดการณ์ว่าในปี 2027 จำนวนครูบรรจุใหม่อาจไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน นั่นหมายความว่าการขาดแคลนครูกำลังเกิดขึ้นและขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทำให้ครูที่ยังคงทำงานอยู่ในโรงเรียนต้องรับบทบาทหนักในการสอนนักเรียนพร้อมต้องปรับตัวเองให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและโลกที่หมุนอย่างรวดเร็ว

 

 

ยกศักยภาพการศึกษา พัฒนาครูให้ก้าวทันโลก

 

 

   จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามีโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนประถมเป็นโรงเรียนที่คุณครูไม่เพียงพอมากที่สุด อาจเพราะมหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีเอกการสอนสำหรับครูประถมมากนัก นักศึกษาที่อยากเป็นคุณครูส่วนใหญ่จึงเลือกเรียนวิชาเอกอย่างวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสังคมศึกษาฯ มากกว่าและเมื่อจบไปจึงเลือกสอนในระดับมัธยม[4] ทำให้ครูประถมไม่เพียงพอแม้ว่าจะเปิดบรรจุมากแต่ครูที่ผ่านคัดเลือกกลับมีน้อยทำให้ภาระงานของครูหนึ่งคนมากเกินไปเพราะการเป็นครูไม่ใช่แค่การสอนเด็กอย่างเดียวยังมีงานด้านต่าง ๆ ที่ต้องดูแล 

 

แล้วการพัฒนาครูด้านทักษะต่าง ๆ มีข้อดีกับโรงเรียนและตัวครูยังไงบ้าง?

 

   ในเชิงโครงสร้างการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่แล้วโดยเพิ่มศักยภาพทางทักษะบางอย่างที่เป็นที่ต้องการเพิ่มเข้าไป เป็นการยกระดับมาตรฐานครูและเพิ่มขีดความสามารถให้สถานศึกษาด้วยต้นทุนที่ควบคุมได้อาจดีกว่าเมื่อเทียบกับการแทนที่บุคลากรใหม่เข้ามาในงบประมาณที่อาจสูงกว่า นอกจากนี้การพัฒนาทักษะและทักษะใหม่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญซึ่งจำเป็นต่อบุคลากรด้านการสอน เป็นการมอบโอกาสในการก้าวหน้าทางอาชีพและเพิ่มทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน ซึ่งมันสามารถต่อยอดไปยังวิธีคิดในการใช้ชีวิตประจำวันได้ 

 

ครูยังต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติมเพื่อเอาไปสอนเด็ก? 

 

   อุตสาหกรรมการศึกษามีการพัฒนาด้วยการวิจัย ทฤษฎีการสอน และวิธีการทำงานใหม่ ๆ อยู่ตลอดโดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก หัวข้อของทักษะดิจิทัลจึงเป็นการเรื่องหลักที่ครูต้องนำมายกระดับศักยภาพของตนเอง ให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่คนยุคใหม่ใช้และนำมันมาประยุกต์กับการทำงานและกระบวนการสอนของตนเองให้ได้เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

นอกจากเรื่องของเทคโนโลยีแล้วหากอ้างอิง VASK หลักการด้านการศึกษาสมัยใหม่[5] 

  • V มาจาก Values คือ ค่านิยม เป็นการสร้างแนวคิดให้เด็กอยากประสบความสำเร็จในชีวิต
  • A มาจาก Attitude คือ เจตคติ หรือทัศนคติ  เป็นการสร้างวิธีคิด เจตคติเชิงบวก และเชิงลบ
  • S มาจาก Skills คือ ทักษะ  เป็นการฝึกฝนให้เกิดเทคนิควิธีการ ที่จะนำไปต่อยอดอาชีพ และดำรงชีวิตต่อไปในอนาคตได้
  • K มาจาก Knowledge คือ ความรู้ ที่ได้รับมาจากการเรียน และประสบการณ์

 

   ที่เป็นหลักการเพื่อพัฒนาการศึกษาใหม่ให้เด็ก ๆ คงจะนำมาปรับใช้กับคุณครูได้เช่นกันเพราะว่าคุณครูก็ต้องมีทักษะเหล่านี้เพื่อเป็นต้นแบบในการชี้แนะอนาคตของชาติ ซึ่ง 3 ตัวสำคัญที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้ ได้แก่

  • ความรู้ (Knowledge) การพัฒนาความรู้ของตนเองเพื่อยกศักยภาพกระบวนการสอน
  • ทักษะ (Skills) 
  • ทักษะการคาดการณ์อนาคตเพื่อวิเคราะห์ทิศทางของการศึกษาและเทรนใหม่ ๆ และนำมาประยุกต์ใช้กับห้องเรียน
  • ทักษะการสื่อสารเพื่อการสอนให้เด็กเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและชัดเจน
  • ทัศนคติ (Attitude) เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ เพราะหากคุณครูไม่มีทัศนคติในการสอนที่ดีก็จะถ่ายทอดความรู้ออกมาได้ไม่เต็มที่ การสร้างทัศนคติในการสอนที่ดีให้กับตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับการพัฒนาด้านความรู้เลยทีเดียว 

 

   การฝึกอบรมครูไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเป็นครั้งคราวในช่วงแรก ๆ ของการสั่งสมประสบการณ์เท่านั้น แต่ควรทำอยู่ตลอดแม้ว่าจะไม่มีประเด็นการขยายช่วงเกษียณอายุที่มากขึ้นนี้ เพราะการถ่ายถอดความรู้อย่างอาชีพครูจำเป็นต้องเพิ่มพูนทักษะ ขยายความรู้และประสบการณ์ของตัวเองให้ก้าวทันโลกอยู่เสมอเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการชี้แนะเด็กรุ่นใหม่และสร้างสังคมคุณภาพในอนาคต

 

   หลังจากอ่านบทความนี้คุณครูคิดว่าการพัฒนาทักษะของตนเองสำคัญหรือไม่ ตัวเรายังคงขาดอะไรไป และมีความคิดเห็นยังไงหากต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ พูดคุยแลกเปลี่ยนไปกับอัตนัยครับ 

 

อ้างอิง

[1] https://www.weforum.org/agenda/2024/03/age-friendly-universities-older-adults/ 

[2]https://www.weforum.org/agenda/2023/09/how-organizations-can-embrace-older-workers-amid-an-ageing-workforce/ 

[3] https://thecitizen.plus/node/33449 

[4] https://mgronline.com/live/detail/9660000082777 

[5] https://www.attanai.com/discovery/vask/ 

https://blog.quickschools.com/2024/08/21/4-reasons-why-upskilling-and-reskilling-is-essential-to-the-teaching-workforce/ 

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS