กระแสย้ายประเทศกำลังมาแรงในช่วงนี้ สำหรับพ่อแม่ที่อยากหาลู่ทางโยกย้ายลูกไปเรียนต่อเมืองนอก
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เช่น อยากให้เก่งภาษาขึ้น ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น หรือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับอนาคตอย่างการเรียนต่อในระดับปริญญาที่ต่างประเทศ หรือสุดท้ายอาจย้ายไปทำงาน ลงหลักปักฐานที่นั่นเลย ในฐานะพ่อแม่ที่หยิบยื่นโอกาสเหล่านี้ให้กับลูก
มีเรื่องอะไรที่เราต้องรู้และเตรียมความพร้อมกันบ้าง
เริ่มต้นจากอะไรดี
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับพ่อแม่ที่มีทุนทรัพย์ในการส่งลูกเรียนนอกเอง แบบไม่ได้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนใดๆ คือการปรึกษาบริษัทแนะแนวเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆ บริษัทเหล่านี้จะให้คำแนะนำตั้งแต่การเลือกหลักสูตร ประเมินค่าใช้จ่าย ช่วยสมัครเรียน ทำวีซ่า หาที่พัก ซื้อตั๋วเครื่องบิน มารับที่สนามบิน รวมถึงให้คำแนะนำในระหว่างที่เรียนอยู่อีกด้วย เรียกว่าครบวงจรแบบที่พ่อแม่ไม่ต้องเหนื่อยอะไรมากมาย แถมยังอุ่นใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มนอกเหนือจากค่าหลักสูตรของลูก
ส่วนพ่อแม่ที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะมีเวลาในการหาข้อมูลให้ลูกอยู่แล้ว ก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่อาจจะต้องทำการบ้านหนักหน่อยเท่านั้นเอง

เลือกประเทศให้ตอบโจทย์
ถ้าพ่อแม่มีเป้าหมายว่าอยากให้ลูกพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นหลัก เราก็ควรเลือกประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ด้วย ถ้าใกล้บ้านเราหน่อย ดูเป็นตัวเลือกที่ดีในแง่เดินทางไม่นาน และค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศแถบตะวันตกแล้วล่ะก็ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็ถือเป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ
#ทีมออสเตรเลีย
- มีสภาพอากาศที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
- สถาบันสอนภาษามีคุณภาพระดับสากลให้เลือกเยอะ
- เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง
- มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม
- ถูกใจสายธรรมชาติแน่นอน ภูมิประเทศสวยงาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมากมาย เช่น ภูเขา ชายหาด ทะเล และกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าสนใจ
#ทีมนิวซีแลนด์
- ใช้ระบบการศึกษาของอังกฤษ แต่ค่าครองชีพถูกกว่าหลายเท่า
- มีความปลอดภัยสูง รัฐบาลให้การดูแลอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะนักเรียนต่างชาติ
- มีภูมิทัศน์ที่สวยงามทั่วประเทศ รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย
- เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก
- มีระบบสาธารณูปโภคที่ปลอดภัย
นอกจาก 2 ประเทศสายธรรมชาตินี้แล้ว หากพ่อแม่มีงบเยอะจนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ แล้วล่ะก็ ยังมีอีกหลายประเทศที่น่าสนใจทางฝั่งตะวันตกอีก เช่น อังกฤษ อเมริกา และแคนาดา
#ทีมอังกฤษ
- ได้เรียนภาษาอังกฤษแบบบริติช
- มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม และหลักสูตรภาษาอังกฤษมากกว่าประเทศใดในโลก
- เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และยังมีเทศกาลประจำปีอีกมากมาย
- มีชื่อเสียงด้านกีฬาโดยเฉพาะสโมสรฟุตบอลดัง
- มีระบบคมนาคมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟ
#ทีมอเมริกา
- ได้ฝึกภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ซึ่งเป็นสำเนียงที่เราได้ยินกันทั่วไปจากหนังและซีรีส์ดังๆ
- มีโรงเรียนสอนภาษาให้เลือกมากมาย หลักสูตรสอนได้รับการยอมรับระดับโลก
- รวมวัฒนธรรมจากหลากหลายเชื้อชาติผสมกัน
- มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย และหลากหลายในแต่ละรัฐ แต่ละเมือง
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย
#ทีมแคนาดา
- คุณภาพการศึกษาดีระดับโลก และมีสถาบันสอนภาษาชั้นนำให้เลือกมากมาย
- เงียบสงบ ปลอดภัยสูง
- อากาศดี หนาวเย็นตลอดปี
- มีธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะกับการท่องเที่ยวรอบเมือง
- ให้ความสำคัญกับเรื่องเสรีภาพค่อนข้างสูง
เตรียมเงินแค่ไหนถึงจะพอ
มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดอย่างค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประเทศ รวมถึงระยะเวลาที่จะส่งลูกไปเรียนนอก กรณีนี้เราขอนำราคามาให้ดูคร่าว ๆ 3 แบบ ไว้พอเป็นไอเดียคือ
- คอร์สเรียนภาษาอังกฤษสั้น ๆ ระยะเวลา 1 เดือน
- เรียนต่อระดับ ม.ปลาย
- สอบเข้าโครงการแลกเปลี่ยน AFS
#คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ 1 เดือน
คอร์สนี้เป็นเหมือนคอร์สชิมลางยอดนิยมให้กับเด็กๆ เนื่องจากมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับแบบอื่น ยกตัวอย่างราคาคร่าวๆใน 4 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อังกฤษและอเมริกา โดยรวมค่าเรียนภาษา ค่าสมัครเรียน ประกันสุขภาพ หนังสือเรียน ค่าจัดหาที่พัก ที่พัก รับที่สนามบิน และวีซ่านักเรียนแล้ว (ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบิน)
- นิวซีแลนด์ 56,450-87,600 บาท
- ออสเตรเลีย 61,200-106,050 บาท
- อังกฤษ 61,630-126,600 บาท
- อเมริกา 76,900-127,850 บาท
โดยรวมแล้วหากรวมค่าตั๋วเครื่องบินเข้าไปด้วย ราคามักจะเริ่มต้นที่หลักแสน ข้อมูลจากบริษัทแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศบางแห่งก็พบว่า ในอเมริกามีค่าใช้จ่าย 204,000 บาท (รวมค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว) แต่ยังไม่รวมค่า pocket money
#เรียนต่อระดับ ม.ปลาย
หากการไปเรียนภาษาอังกฤษแค่เดือนเดียวยังไม่จุใจ หรืออยากจะเห็นประเทศนั้นๆ เมืองนั้นๆ ในบริบทที่ยาวนานขึ้น พ่อแม่จำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะส่งลูกไปเรียนม.ปลาย 3 ปี บางครอบครัวมีเป้าหมายว่าจะให้เรียนต่อปริญญาตรีไปด้วยเลย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายต่อปีแบบรวมค่าเรียนและค่าที่พักกับโฮสต์พร้อมอาหาร ดังนี้
- นิวซีแลนด์ รัฐบาล 6 – 7.5 แสนบาท/ เอกชน 8 แสน – 1.2 ล้านบาท
- แคนาดา รัฐบาล 5.5 – 7.5 แสนบาท/ เอกชน 8.0 แสน – 1.5 ล้านบาท
- อเมริกา รัฐบาล (F1 visa) 6 – 7 แสน/ เอกชน 6.0 แสน – 1.8 ล้านบาท
- ออสเตรเลีย รัฐบาล 7 – 9 แสนบาท/ เอกชน 8.0 แสน – 1.5 ล้านบาท
ยกเว้นอังกฤษที่ส่วนใหญ่จะเป็น Boarding School หมด ค่าใช้จ่ายจึงจะค่อนข้างสูงราวๆ 1.5 ล้านบาท
#สอบเข้าโครงการแลกเปลี่ยน AFS
โครงการนี้นักเรียนจะได้เดินทางไปเรียนเมืองนอกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะเปิดรับสมัครสอบสำหรับนักเรียนม.ปลาย และให้เลือกประเทศที่สนใจไว้ได้ 3 อันดับ ซึ่งมีหลายประเทศ ครอบคลุมทั้งภาคพื้นทวีปเหนือและใต้กว่า 50 ประเทศ ค่าเข้าร่วมโครงการในแต่ละประเทศจะมีราคาไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 3 แสน -1 ล้านกว่าบาท อย่างไรก็ตามราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับระหว่างประเทศ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศทั้งหมด ยิ่งในยุคโควิดด้วยแล้ว พ่อแม่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางหรือวันเดินทาง (หากมี) ค่าตรวจเชื้อ ค่าใช้จ่ายในการ Quarantine และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดในประเทศไทยและต่างประเทศ
เห็นค่าใช้จ่ายแล้วมันเหนื่อย ส่งไปเรียนอินเตอร์แทน ต่างกันมากไหม
พ่อแม่ต้องชั่งน้ำหนักดูข้อดีข้อเสียของการเรียนแต่ละประเภท ถึงจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกันหลายอย่าง
#ทีมเรียนอินเตอร์
ข้อดี
- นักเรียนมาจากหลากหลายแบ็กกราวน์ ไม่ได้มีเฉพาะแค่นักเรียนไทย
- ค่าเทอมถูกกว่าการไปเรียนนอก
- ไม่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมมากนัก
- เป็นพื้นฐานให้ไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับที่สูงกว่าได้
ข้อเสีย
- ต้องศึกษาข้อมูลหลักสูตรและอาจารย์ผู้สอนให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรที่ดี
- หลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด เปิดเฉพาะบางหลักสูตร เช่น นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ
#ทีมเรียนต่อนอก
ข้อดี
- ได้เจอสังคมนานาชาติ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากหลายประเทศ
- หลักสูตรหลากหลายกว่าของประเทศไทย มีทั้งคอร์สระยะสั้นและระยะยาวให้เลือก
- ได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ ทั้งในชั้นเรียนและในชีวิตประจำวัน
- มีโอกาสเข้าถึงข้อมูล แหล่งความรู้ และงานวิจัยต่างๆ มากกว่า
- มีโอกาสเข้าทำงาน ฝึกงานในบริษัทต่างชาติ
ข้อเสีย
- ค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- ต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่
กินนอนเรื่องใหญ่ อยู่กับโฮสต์หรือหอดีกว่ากัน
การพักกับ Host Family ถือเป็นรูปแบบการพักอาศัยที่นิยมที่สุดสำหรับนักเรียนที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศ หลายประเทศพ่อแม่สามารถเลือกได้ว่าอยากให้ลูกพักแบบไหนระหว่างอยู่กับโฮสต์หรืออยู่หอ แต่ก็มีบางประเทศ เช่น อังกฤษ ที่โรงเรียนส่วนมากจะเป็น Boarding School หมด
#ทีมโฮสต์
ข้อดี
- ราคาถูกกว่าหอพัก
- ได้เรียนรู้ประสบการณ์และวัฒนธรรมใหม่จากการใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นจริงๆ เช่น ทานอาหารรสชาติแบบดั้งเดิมที่โฮสต์ทำเอง บางบ้านอาจพานักเรียนไปเที่ยวในวันหยุดด้วย
- ไม่เหงา เพราะโฮสต์ก็เหมือนคนในครอบครัวที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเมื่อเรามีปัญหา
- พัฒนาทักษะด้านภาษาได้ไวกว่าจากการพูดคุยกับสมาชิกในบ้าน
- ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะบ้านโฮสต์มีทุกอย่างครบครัน เราซื้อแค่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้น
ข้อเสีย
- อาหารอาจไม่ถูกปาก แต่จำเป็นต้องกินเพราะไม่งั้นจะดูเสียมารยาท
- มีความเป็นส่วนตัวน้อย
- เด็กไทยมีความขี้เกรงใจมากกว่าชาติอื่น หากมีเรื่องอึดอัดใจบางครั้งก็ไม่กล้าพูดคุยกับโฮสต์โดยตรง
- ขาดความเป็นอิสระ แต่ละบ้านอาจมีกฎที่เข้มงวดไม่เหมือนกัน เช่น ห้ามพาเพื่อนมาที่บ้าน ต้องช่วยทำงานบ้าน ห้ามเอาอาหารขึ้นไปกินในห้องนอน
#ทีมหอ
ข้อดี
- มีอาหารให้เลือกกินได้ตามใจชอบ
- มีความปลอดภัยสูง
- สะอาด เพราะมีแม่บ้านคอยดูแลพื้นที่ส่วนกลาง นักเรียนแค่รับผิดชอบพื้นของตัวเอง
- อยู่ใกล้โรงเรียน ไม่เสียเวลาเดินทาง
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สนามบาสเกตบอล สนามฟุตบอล สระว่ายน้ำ ฟิตเนส
- ได้รู้จักเพื่อนใหม่
ข้อเสีย
- กฎระเบียบค่อนข้างเยอะ เช่น มีกำหนดเวลาเข้า-ออก ไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้ามาพัก
- สัญญาไม่ยืดหยุ่น หอพักส่วนใหญ่ต้องทำสัญญาและจ่ายค่าเช่าเป็นเทอม หากต้องการย้ายออกหรือเปลี่ยนรูมเมทมักมีความยุ่งยากพอสมควร บางทีต้องอดทนอยู่จนครบกำหนดจึงจะย้ายออกได้
เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
นอกเหนือจากเรื่องเอกสารต่าง ๆ แล้วควรให้ลูกได้ตรวจสุขภาพเสียก่อน ฉีดวัคซีนที่จำเป็นและเตรียมยาพื้นฐานติดตัวไปบ้าง ทำฟัน ตัดผมให้เรียบร้อย เพราะที่เมืองนอกค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าหลายเท่า สำคัญที่สุดคือ เตรียมใจและเปิดโอกาสให้ลูกปรับตัว ปรับใจ พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยใจที่คิดบวก คอยเป็นกำลังใจให้พวกเขาในช่วงที่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งลูกเรียนนอกนั้น เงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นเครื่องการันตีเสมอไปว่าลูกจะต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าเด็กที่เรียนจบในไทย แต่อย่างน้อยนี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่เขาจะได้เห็นโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น ได้เจอผู้คน วัฒนธรรม ภาษาใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว แน่นอนว่ายังมีโอกาสอีกมากสำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ มีทุนเรียนฟรีในต่างประเทศให้เด็กๆ ได้สอบแข่งขัน เพื่อไปเปิดหูเปิดตา สร้างโอกาสให้อนาคตกับตัวเอง แล้วเราเองในฐานะพ่อแม่ล่ะ มองอนาคตพวกเขาไว้อย่างไรกับโอกาสครั้งนี้
อ้างอิง
- https://bit.ly/3v6TXxE
- https://bit.ly/3BBU1I9
- https://bit.ly/3oXAyhN
- https://bit.ly/3aynffe
- https://afsthailand.org
- https://bit.ly/3oXKRSQ
- https://bit.ly/3vajJRY
- https://bit.ly/3lI2i8h