ภาษาจีนความท้าทายใหม่บนพรมแดนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

A A
Jan 15, 2025
Jan 15, 2025
A A

ภาษาจีนความท้าทายใหม่บนพรมแดนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

 

เมื่อโลกเชื่อมโยงถึงกันด้วยเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ การเรียนรู้ภาษาที่สองหรือภาษาที่สามไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ความจำเป็น” ที่ช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ภาษาจีน หนึ่งในภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาษาที่มีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิต ทั้งการทำงาน การศึกษา และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

คำถามคือ “ทำไมภาษาจีนถึงสำคัญสำหรับคนไทย?”

 

เพราะเมื่อเราเอ่ยถึงคำว่า ประเทศมหาอำนาจ

แน่นอนว่าในศตวรรษนี้ต้องมี จีน เป็นหนึ่งในนั้น

จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ส่งออกสินค้าอันดับหนึ่งของโลก ความสำเร็จนี้เกิดจากการเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของโลก ด้วยแรงงานที่มีทักษะและต้นทุนต่ำในอดีต รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน

 

โครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative: BRI) เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนในระดับโลก โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ล

ไม่ได้เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่เกี่ยวข้อง แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างจีนและประเทศอื่น ๆ

 

สำหรับประเทศไทย ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมีความสำคัญในฐานะ จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และสินค้าเกษตร มีตลาดใหญ่ในจีน นอกจากนี้ การลงทุนจากจีนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง

 

ยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจีนในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจของไทย นั่นจึงทำให้ ภาษาจีน กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพคนไทยเข้าสู่ตลาดแรงงานโลก

 

 

ภาษาจีน

 

หนึ่งในความท้าทายแรกที่คนไทยพบเมื่อเริ่มเรียนภาษาจีนคือระบบตัวอักษรที่แตกต่างจากภาษาไทยอย่างสิ้นเชิง ภาษาจีนใช้ระบบตัวอักษรภาพ (logographic system) ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวแทนความหมายและเสียงในตัวเอง ต่างจากภาษาไทยที่ใช้ระบบตัวอักษรเสียง (phonetic system) ที่สามารถสะกดคำได้ตามหลักการออกเสียง ตัวอักษรจีนมีจำนวนมหาศาล โดยในชีวิตประจำวันผู้พูดต้องรู้จักตัวอักษรอย่างน้อย 2,500-3,000 ตัว ในขณะที่ตัวอักษรทั้งหมดมีมากกว่า 50,000 ตัว

 

สำหรับคนไทยที่คุ้นเคยกับการอ่านและเขียนภาษาไทย ซึ่งมีตัวอักษรเพียง 44 ตัว การเปลี่ยนมาเรียนรู้ตัวอักษรจีนอาจเป็นเรื่องยากที่จะปรับตัว การเรียนรู้ตัวอักษรยังต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับลำดับขีด (stroke order) และองค์ประกอบของตัวอักษร (radicals) ซึ่งต้องใช้ความละเอียดและความอดทน

 

แม้ว่าภาษาไทยและภาษาจีนจะเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ระบบเสียงวรรณยุกต์ของภาษาจีนมีความซับซ้อนและแตกต่างในรายละเอียด ภาษาจีนกลาง (Mandarin) มีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียงหลัก ได้แก่ เสียงสูง (ˉ) เสียงขึ้น (ˊ) เสียงลง-ขึ้น (ˇ) และเสียงลง (ˋ) นอกจากนี้ยังมีเสียงกลางที่ไม่มีวรรณยุกต์ (neutral tone) ซึ่งต้องใช้อารมณ์เสียงเบาและสั้น คนไทยที่คุ้นเคยกับเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียงของภาษาไทย อาจสับสนกับการเปลี่ยนเสียงที่คล้ายคลึงกันในภาษาจีน เช่น คำว่า “妈” (mā) แปลว่าแม่ และ “骂” (mà) แปลว่าด่า ความแตกต่างของเสียงเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในบทสนทนาได้

 

นอกจากนี้ การออกเสียงพยัญชนะบางตัวในภาษาจีน เช่น เสียง “zh,” “ch,” และ “sh” ที่ไม่มีในภาษาไทย ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย คนไทยอาจออกเสียงไม่ชัดเจนหรือตกหล่นเสียงบางตัว ซึ่งส่งผลต่อความหมายของคำด้วยเช่นกัน

 

ในแง่มุมของไวยากรณ์ ภาษาจีนมีความเรียบง่ายเมื่อเทียบกับภาษาไทย เช่น ไม่มีการเปลี่ยนรูปคำกริยาตามกาลเวลา (tense) หรือรูปเอกพจน์และพหูพจน์ แต่ในขณะเดียวกัน การเรียงลำดับคำในประโยคภาษาจีนอาจสร้างความสับสนให้กับคนไทย ตัวอย่างเช่น ในภาษาไทยเราพูดว่า “ฉันกินข้าวตอนเช้า” แต่ในภาษาจีนจะเรียงว่า “早上我吃饭” (zǎoshàng wǒ chīfàn) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ตอนเช้า ฉันกินข้าว” การปรับตัวให้คุ้นเคยกับลำดับคำในประโยคภาษาจีนต้องใช้เวลาและการฝึกฝน อีกหนึ่งความท้าทายคือการใช้คำเสริม (particles) ที่มีความหมายเฉพาะ เช่น คำว่า “了” (le) ที่ใช้บ่งบอกการกระทำที่เสร็จสมบูรณ์ หรือ “过” (guo) ที่แสดงถึงประสบการณ์ในอดีต คำเหล่านี้ไม่มีในภาษาไทย ทำให้ผู้เรียนต้องทำความเข้าใจบริบทและการใช้งานในแต่ละสถานการณ์

 

เราจะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ภาษาจีนสำหรับคนไทยนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายหลายอย่าง ไม่ใช่แค่การเรียนรู้คำศัพท์และไวยากรณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ระบบความคิดและวิธีการสื่อสารที่แตกต่างจากวัฒนธรรมไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในด้านของการใช้ตัวอักษรจีนและระบบเสียงที่มีความซับซ้อน ตัวอักษรจีนไม่ใช่ตัวอักษรพยัญชนะที่มีเสียงและความหมายตายตัวเหมือนภาษาไทย แต่เป็นตัวอักษรที่มีความหมายตามลักษณะของภาพและสัญลักษณ์ ซึ่งต้องใช้เวลาและความพยายามในการจดจำและเข้าใจ

 

แต่ถ้าเรามองในอีกอีกแง่มุมหนึ่ง นี่ก็อาจอีกเป็นโอกาสที่สำคัญในการเตรียมพร้อมเราสำหรับโลกที่เชื่อมโยงกันถึงมากขึ้นด้วยวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

 

ขอบคุณข้อมูล https://medium.com/@magda.sawyer/why-learning-mandarin-is-worth-your-time-93d4ceaa0489 https://casvi.es/en/ventajas-de-aprender-chino/ https://haochinesetuition.com/blog/why-you-should-learn-chinese/

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS