ซาอุดิอาระเบีย เมืองนวัตกรรมแห่งความสุขบนผืนทะเลทราย

A A
Jan 6, 2024
Jan 6, 2024
A A

 

 

ซาอุดิอาระเบีย 

เมืองนวัตกรรมแห่งความสุขบนผืนทะเลทราย

 

 

   หลังจากที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้ค้นพบน้ำมันเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยนักสำรวจชาวอเมริกา จากที่เคยเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย มีแต่ความแห้งแล้ง เต็มไปด้วยทะเลทราย และเป็นเพียงศูนย์กลางของโลกมุสลิมที่ผู้คนมักจะมาทำพิธีฮัจญ์ที่เมืองเมกกะเป็นประจำทุกปี ก็ได้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยได้เพียงข้ามคืน จากวันนั้นถึงวันนี้ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยศักยภาพเช่นนี้ทำให้ประเทศซาอุดีอาระเบียมีความเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด จนสามารถนำมาพัฒนาในด้านอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม

 

การเดินทางระยะยาวของแผนพัฒนานวัตกรรม Saudi Vision 2030

 

   มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ผู้นำของซาอุดีอาระเบีย มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammad bin Salman) จึงได้เสนอแผน “Saudi Vision 2030” ขึ้นมา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2017 ในการประชุมงาน Future Investment Initiative ซึ่งเป็นแผนการการพัฒนาประเทศที่มองไกลไปในระยะยาวและเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย กระจายสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ พัฒนาบริการสาธารณูปโภค โดยมีเมืองนิอุม (NEOM) เป็นจุดศูนย์กลางการพัฒนานี้ ด้วยงบประมาณที่สูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดิอาระเบีย (The Public Investment Fund) และนักลงทุนต่างชาติให้การสนับสนุน อีกทั้งยังถูกประกาศให้เป็นเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและมีระบบตุลาการเป็นของตัวเองอีกด้วย

 

ซาอุดิอาระเบียในบทบาท “Silicon Valley เมืองนวัตกรรมแห่งตะวันออกกลาง”

 

   อย่างที่เรารู้จักว่า Silicon Valley เปรียบเสมือนต้นแบบเมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยหุบเขา Santa Clara Valley ของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ณ ที่แห่งนี้จึงเป็นแหล่งกำเนิดเทคโนโลยี และนวัตกรรมล้ำสมัยมากมาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า Tesla โทรศัพท์มือถือ iPhone ของ Apple หรือ Search Engine ชื่อดังอย่าง Google รวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมอย่าง Facebook เองก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่เช่นกัน และซาอุดิอาระเบียกำลังเดินตามรอยในเส้นทางเดียวกัน

 

   จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปที่ปี 2016 คณะผู้นำของประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “น้ำมัน” จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียมีอำนาจทัดเทียมกับชาติมหาอำนาจอื่น ๆ กลับมาเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้ว และปริมาณร่อยหรอลงเรื่อย ๆ ทำให้เครื่องหมายคำถามตัวโต ๆ ของการประชุมครั้งนั้นคือ “ในวันข้างหน้าซาอุดิอาระเบียจะอยู่ในบทบาทไหน หากไร้ซึ่งทรัพยากรน้ำมัน”

 

   ซึ่งต่อมาคำตอบของคำถามนั้นอยู่ในรูปแบบเอกสารความยาวกว่า 85 หน้า ที่มีชื่อว่า “Vision 30” วาระสำคัญในนั้นบ่งบอกถึงสิ่งที่ซาอุดิอาระเบียกำลังจะทำและกำลังจะเป็นในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยอาศัยหลักการหลัก 3 อย่างด้วยกันคือ หลักการที่ 1  Vibrant Society สร้างสังคมที่มีชีวิตชีวา สร้างความบันเทิงและเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ หลักการที่ 2 Thriving Economy หรือ

   การสร้างเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก พัฒนาสินค้าส่งออกใหม่ ๆ โดยลดการพึ่งพา Nonenewable Resources หรือทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และหลักการสุดท้าย Ambitious Nation การสร้างชาติด้วยความทะเยอทะยาน จากการยกระดับรัฐบาล เพิ่มจำนวนและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชากร โดยสิ่งสำคัญที่น่าสนใจของหลักการด้านนี้การเพิ่มเรื่องสนับสนุนสิทธิสตรีเข้าไปอย่างที่เราไม่เคยให้มาก่อนในรัฐอิสลาม ทำให้เราเห็นว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมที่แวดล้อมไปด้วยทะเลทรายและสงคราม ก็ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เหมือนกัน ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ในสิ่งที่คิดว่าจะได้เห็น เพื่อโอบรับให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลก

 

 

ซาอุดิอาระเบียในบทบาท Silicon Valley เมืองนวัตกรรมแห่งตะวันออกกลาง

 

 

   ถ้าจะให้ถึงเป้าหมายนั้นตามที่เอกสาร Vision 30 ตั้งไว้ สิ่งที่ต้องทำแน่ ๆ คือ เพิ่มศักยภาพประชากร และอะไรจะเพิ่มศักยภาพของประชากรไปได้ดีกว่า “การศึกษา”

   ซาอุดิอาระเบียจึงยกเครื่องหลักสูตรใหม่ที่เน้นมาตรฐานด้านความรู้ความเข้าใจ เน้นทักษะด้านวิทยาการคำนวณควบคู่ไปกับการเรียนศาสนาแบบดั้งเดิม ดึงดูดนักวิชาการหัวกะทิจากทั่วโลกเพื่อให้มั่นใจว่าผลการศึกษาที่สูงขึ้นจะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ด้วยนโยบายนี้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ แนะนำโปรแกรมทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อเตรียมผู้สำเร็จการศึกษาให้พร้อมสำหรับแรงงานในอนาคต เนื่องจากพวกเขาต้องการทักษะเหล่านี้ในการเข้าสู่แรงงานและเริ่มต้นอาชีพการงาน ในทางกลับกัน มหาวิทยาลัยของรัฐบางแห่งกำลังถูกเปลี่ยนเป็นสถาบันอิสระที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อให้สถานศึกษาเหล่านี้มีอิสระอย่างเต็มที่ในการบรรลุเป้าหมายและจัดการกิจการของตน

   นอกจากนี้ หากโครงการเมือง NEOM Smart City กลายเป็นความจริงในอีก 20 ปีข้างหน้า บวกกับการประกาศล่าสุดของ CEO Nadhmi Al – Nasr ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาจะเริ่มก่อสร้างในปี 2023 ฝั่งการศึกษาของซาอุดิอาระเบีย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างการรองรับนักศึกษายุคใหม่และพนักงานที่อายุน้อย ซึ่ง Al – Nasr กล่าวว่า เศรษฐกิจแห่งความรู้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว โดยครอบคลุมประสบการณ์การเรียนรู้ของเยาวชนซาอุดิอาระเบียทุกคน

   โดยรายงานล่าสุดด้านดัชนีบ่งชี้ขีดวคามสามารถการแข่งขันระดับโลก ระบุว่า ซาอุดิอาระเบียมีความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมสูงขึ้นไปอีก 4 ตำแหน่งจาก 41 ในปีที่ จนลำดับที่ 37 ในปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าเทรนด์การศึกษาในโลกยุคใหม่ ซาอุดิอาระเบียก็ไม่พลาดที่จะมอบประสบการณ์โลกเสมือนอย่างสร้างสรรค์ให้เด็ก ๆ ทุกระดับชั้น ทั้งหมดนี่จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่เยาวชนบนผืนทะเลทรายแห่งนี้มีความพร้อมต่ออนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

อ้างอิง

https://www.vision2030.gov.sa/en/

https://www.businessinsider.com/vision-2030-saudi-arabia-plan-future-proof-oil-economy-2023-8

https://earth.org/saudi-vision-2030/

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS