ส่งลูกเรียนนอก

A A
Oct 14, 2021
Oct 14, 2021
A A

     กระแสย้ายประเทศกำลังมาแรงในช่วงนี้ สำหรับพ่อแม่ที่อยากหาลู่ทางโยกย้ายลูกไปเรียนต่อเมืองนอก

 

     ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เช่น อยากให้เก่งภาษาขึ้น ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น หรือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับอนาคตอย่างการเรียนต่อในระดับปริญญาที่ต่างประเทศ หรือสุดท้ายอาจย้ายไปทำงาน ลงหลักปักฐานที่นั่นเลย ในฐานะพ่อแม่ที่หยิบยื่นโอกาสเหล่านี้ให้กับลูก

 

มีเรื่องอะไรที่เราต้องรู้และเตรียมความพร้อมกันบ้าง

 

เริ่มต้นจากอะไรดี

     วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับพ่อแม่ที่มีทุนทรัพย์ในการส่งลูกเรียนนอกเอง แบบไม่ได้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนใดๆ คือการปรึกษาบริษัทแนะแนวเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆ บริษัทเหล่านี้จะให้คำแนะนำตั้งแต่การเลือกหลักสูตร ประเมินค่าใช้จ่าย ช่วยสมัครเรียน ทำวีซ่า หาที่พัก ซื้อตั๋วเครื่องบิน มารับที่สนามบิน รวมถึงให้คำแนะนำในระหว่างที่เรียนอยู่อีกด้วย เรียกว่าครบวงจรแบบที่พ่อแม่ไม่ต้องเหนื่อยอะไรมากมาย แถมยังอุ่นใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่น แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มนอกเหนือจากค่าหลักสูตรของลูก

 

    ส่วนพ่อแม่ที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะมีเวลาในการหาข้อมูลให้ลูกอยู่แล้ว ก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่อาจจะต้องทำการบ้านหนักหน่อยเท่านั้นเอง

 

ส่งลูกเรียนนอก

 

เลือกประเทศให้ตอบโจทย์

     ถ้าพ่อแม่มีเป้าหมายว่าอยากให้ลูกพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นหลัก เราก็ควรเลือกประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ด้วย ถ้าใกล้บ้านเราหน่อย ดูเป็นตัวเลือกที่ดีในแง่เดินทางไม่นาน และค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศแถบตะวันตกแล้วล่ะก็ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็ถือเป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ

 

#ทีมออสเตรเลีย

  • มีสภาพอากาศที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด 
  • สถาบันสอนภาษามีคุณภาพระดับสากลให้เลือกเยอะ
  • เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง
  • มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม
  • ถูกใจสายธรรมชาติแน่นอน ภูมิประเทศสวยงาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมากมาย เช่น ภูเขา ชายหาด ทะเล และกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าสนใจ

 

#ทีมนิวซีแลนด์

  • ใช้ระบบการศึกษาของอังกฤษ แต่ค่าครองชีพถูกกว่าหลายเท่า
  • มีความปลอดภัยสูง รัฐบาลให้การดูแลอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะนักเรียนต่างชาติ
  • มีภูมิทัศน์ที่สวยงามทั่วประเทศ รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย
  • เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก
  • มีระบบสาธารณูปโภคที่ปลอดภัย

 

นอกจาก 2 ประเทศสายธรรมชาตินี้แล้ว หากพ่อแม่มีงบเยอะจนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ แล้วล่ะก็ ยังมีอีกหลายประเทศที่น่าสนใจทางฝั่งตะวันตกอีก เช่น อังกฤษ อเมริกา และแคนาดา 

 

#ทีมอังกฤษ

  • ได้เรียนภาษาอังกฤษแบบบริติช 
  • มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม และหลักสูตรภาษาอังกฤษมากกว่าประเทศใดในโลก
  • เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ และยังมีเทศกาลประจำปีอีกมากมาย
  • มีชื่อเสียงด้านกีฬาโดยเฉพาะสโมสรฟุตบอลดัง
  • มีระบบคมนาคมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถไฟ

 

#ทีมอเมริกา

  • ได้ฝึกภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ซึ่งเป็นสำเนียงที่เราได้ยินกันทั่วไปจากหนังและซีรีส์ดังๆ
  • มีโรงเรียนสอนภาษาให้เลือกมากมาย หลักสูตรสอนได้รับการยอมรับระดับโลก
  • รวมวัฒนธรรมจากหลากหลายเชื้อชาติผสมกัน
  • มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย และหลากหลายในแต่ละรัฐ แต่ละเมือง
  • มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบาย

 

#ทีมแคนาดา

  • คุณภาพการศึกษาดีระดับโลก และมีสถาบันสอนภาษาชั้นนำให้เลือกมากมาย
  • เงียบสงบ ปลอดภัยสูง
  • อากาศดี หนาวเย็นตลอดปี
  • มีธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะกับการท่องเที่ยวรอบเมือง
  • ให้ความสำคัญกับเรื่องเสรีภาพค่อนข้างสูง

 

เตรียมเงินแค่ไหนถึงจะพอ

     มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดอย่างค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประเทศ รวมถึงระยะเวลาที่จะส่งลูกไปเรียนนอก กรณีนี้เราขอนำราคามาให้ดูคร่าว ๆ 3 แบบ ไว้พอเป็นไอเดียคือ

  1. คอร์สเรียนภาษาอังกฤษสั้น ๆ ระยะเวลา 1 เดือน 
  2. เรียนต่อระดับ ม.ปลาย 
  3. สอบเข้าโครงการแลกเปลี่ยน AFS

 

#คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ 1 เดือน

     คอร์สนี้เป็นเหมือนคอร์สชิมลางยอดนิยมให้กับเด็กๆ เนื่องจากมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับแบบอื่น ยกตัวอย่างราคาคร่าวๆใน  4 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อังกฤษและอเมริกา โดยรวมค่าเรียนภาษา ค่าสมัครเรียน ประกันสุขภาพ หนังสือเรียน ค่าจัดหาที่พัก ที่พัก รับที่สนามบิน และวีซ่านักเรียนแล้ว (ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบิน)

  • นิวซีแลนด์    56,450-87,600 บาท
  • ออสเตรเลีย  61,200-106,050 บาท 
  • อังกฤษ         61,630-126,600 บาท
  • อเมริกา        76,900-127,850 บาท

     โดยรวมแล้วหากรวมค่าตั๋วเครื่องบินเข้าไปด้วย ราคามักจะเริ่มต้นที่หลักแสน ข้อมูลจากบริษัทแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศบางแห่งก็พบว่า ในอเมริกามีค่าใช้จ่าย 204,000 บาท (รวมค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว) แต่ยังไม่รวมค่า pocket money

 

#เรียนต่อระดับ ม.ปลาย

     หากการไปเรียนภาษาอังกฤษแค่เดือนเดียวยังไม่จุใจ หรืออยากจะเห็นประเทศนั้นๆ เมืองนั้นๆ ในบริบทที่ยาวนานขึ้น พ่อแม่จำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะส่งลูกไปเรียนม.ปลาย 3 ปี บางครอบครัวมีเป้าหมายว่าจะให้เรียนต่อปริญญาตรีไปด้วยเลย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายต่อปีแบบรวมค่าเรียนและค่าที่พักกับโฮสต์พร้อมอาหาร ดังนี้

  • นิวซีแลนด์ รัฐบาล 6 – 7.5 แสนบาท/ เอกชน 8 แสน – 1.2 ล้านบาท
  • แคนาดา รัฐบาล 5.5 – 7.5 แสนบาท/ เอกชน 8.0 แสน – 1.5 ล้านบาท
  • อเมริกา รัฐบาล (F1 visa) 6 – 7 แสน/ เอกชน 6.0 แสน – 1.8 ล้านบาท
  • ออสเตรเลีย รัฐบาล 7 – 9 แสนบาท/ เอกชน 8.0 แสน – 1.5 ล้านบาท

ยกเว้นอังกฤษที่ส่วนใหญ่จะเป็น Boarding School หมด ค่าใช้จ่ายจึงจะค่อนข้างสูงราวๆ 1.5 ล้านบาท

 

#สอบเข้าโครงการแลกเปลี่ยน AFS

     โครงการนี้นักเรียนจะได้เดินทางไปเรียนเมืองนอกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะเปิดรับสมัครสอบสำหรับนักเรียนม.ปลาย และให้เลือกประเทศที่สนใจไว้ได้ 3 อันดับ ซึ่งมีหลายประเทศ ครอบคลุมทั้งภาคพื้นทวีปเหนือและใต้กว่า 50 ประเทศ ค่าเข้าร่วมโครงการในแต่ละประเทศจะมีราคาไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 3 แสน -1 ล้านกว่าบาท อย่างไรก็ตามราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับระหว่างประเทศ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศทั้งหมด ยิ่งในยุคโควิดด้วยแล้ว พ่อแม่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางหรือวันเดินทาง (หากมี) ค่าตรวจเชื้อ ค่าใช้จ่ายในการ Quarantine และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดในประเทศไทยและต่างประเทศ

 

เห็นค่าใช้จ่ายแล้วมันเหนื่อย ส่งไปเรียนอินเตอร์แทน ต่างกันมากไหม

     พ่อแม่ต้องชั่งน้ำหนักดูข้อดีข้อเสียของการเรียนแต่ละประเภท ถึงจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกันหลายอย่าง

 

#ทีมเรียนอินเตอร์

ข้อดี

  1. นักเรียนมาจากหลากหลายแบ็กกราวน์ ไม่ได้มีเฉพาะแค่นักเรียนไทย
  2. ค่าเทอมถูกกว่าการไปเรียนนอก
  3. ไม่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมมากนัก
  4. เป็นพื้นฐานให้ไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับที่สูงกว่าได้

ข้อเสีย

  1. ต้องศึกษาข้อมูลหลักสูตรและอาจารย์ผู้สอนให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรที่ดี
  2. หลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด เปิดเฉพาะบางหลักสูตร เช่น นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ

 

#ทีมเรียนต่อนอก

ข้อดี

  • ได้เจอสังคมนานาชาติ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากหลายประเทศ
  • หลักสูตรหลากหลายกว่าของประเทศไทย มีทั้งคอร์สระยะสั้นและระยะยาวให้เลือก
  • ได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ ทั้งในชั้นเรียนและในชีวิตประจำวัน
  • มีโอกาสเข้าถึงข้อมูล แหล่งความรู้ และงานวิจัยต่างๆ มากกว่า
  • มีโอกาสเข้าทำงาน ฝึกงานในบริษัทต่างชาติ

ข้อเสีย

  • ค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ
  • ต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่

 

กินนอนเรื่องใหญ่ อยู่กับโฮสต์หรือหอดีกว่ากัน

     การพักกับ Host Family ถือเป็นรูปแบบการพักอาศัยที่นิยมที่สุดสำหรับนักเรียนที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศ หลายประเทศพ่อแม่สามารถเลือกได้ว่าอยากให้ลูกพักแบบไหนระหว่างอยู่กับโฮสต์หรืออยู่หอ  แต่ก็มีบางประเทศ เช่น อังกฤษ ที่โรงเรียนส่วนมากจะเป็น Boarding School หมด

 

#ทีมโฮสต์

ข้อดี

  • ราคาถูกกว่าหอพัก
  • ได้เรียนรู้ประสบการณ์และวัฒนธรรมใหม่จากการใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่นจริงๆ เช่น ทานอาหารรสชาติแบบดั้งเดิมที่โฮสต์ทำเอง บางบ้านอาจพานักเรียนไปเที่ยวในวันหยุดด้วย
  • ไม่เหงา เพราะโฮสต์ก็เหมือนคนในครอบครัวที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเมื่อเรามีปัญหา
  • พัฒนาทักษะด้านภาษาได้ไวกว่าจากการพูดคุยกับสมาชิกในบ้าน 
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะบ้านโฮสต์มีทุกอย่างครบครัน เราซื้อแค่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้น 

ข้อเสีย

  • อาหารอาจไม่ถูกปาก แต่จำเป็นต้องกินเพราะไม่งั้นจะดูเสียมารยาท
  • มีความเป็นส่วนตัวน้อย
  • เด็กไทยมีความขี้เกรงใจมากกว่าชาติอื่น หากมีเรื่องอึดอัดใจบางครั้งก็ไม่กล้าพูดคุยกับโฮสต์โดยตรง
  • ขาดความเป็นอิสระ แต่ละบ้านอาจมีกฎที่เข้มงวดไม่เหมือนกัน เช่น ห้ามพาเพื่อนมาที่บ้าน ต้องช่วยทำงานบ้าน ห้ามเอาอาหารขึ้นไปกินในห้องนอน

 

#ทีมหอ

ข้อดี

  • มีอาหารให้เลือกกินได้ตามใจชอบ
  • มีความปลอดภัยสูง 
  • สะอาด เพราะมีแม่บ้านคอยดูแลพื้นที่ส่วนกลาง  นักเรียนแค่รับผิดชอบพื้นของตัวเอง
  • อยู่ใกล้โรงเรียน ไม่เสียเวลาเดินทาง
  • มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สนามบาสเกตบอล สนามฟุตบอล สระว่ายน้ำ ฟิตเนส
  • ได้รู้จักเพื่อนใหม่ 

ข้อเสีย

  • กฎระเบียบค่อนข้างเยอะ เช่น มีกำหนดเวลาเข้า-ออก ไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้ามาพัก 
  • สัญญาไม่ยืดหยุ่น หอพักส่วนใหญ่ต้องทำสัญญาและจ่ายค่าเช่าเป็นเทอม หากต้องการย้ายออกหรือเปลี่ยนรูมเมทมักมีความยุ่งยากพอสมควร บางทีต้องอดทนอยู่จนครบกำหนดจึงจะย้ายออกได้

 

เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

     นอกเหนือจากเรื่องเอกสารต่าง ๆ แล้วควรให้ลูกได้ตรวจสุขภาพเสียก่อน ฉีดวัคซีนที่จำเป็นและเตรียมยาพื้นฐานติดตัวไปบ้าง ทำฟัน ตัดผมให้เรียบร้อย เพราะที่เมืองนอกค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าหลายเท่า สำคัญที่สุดคือ เตรียมใจและเปิดโอกาสให้ลูกปรับตัว ปรับใจ พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยใจที่คิดบวก คอยเป็นกำลังใจให้พวกเขาในช่วงที่ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่

 

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งลูกเรียนนอกนั้น เงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นเครื่องการันตีเสมอไปว่าลูกจะต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าเด็กที่เรียนจบในไทย แต่อย่างน้อยนี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่เขาจะได้เห็นโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น ได้เจอผู้คน วัฒนธรรม ภาษาใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว แน่นอนว่ายังมีโอกาสอีกมากสำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ มีทุนเรียนฟรีในต่างประเทศให้เด็กๆ ได้สอบแข่งขัน เพื่อไปเปิดหูเปิดตา สร้างโอกาสให้อนาคตกับตัวเอง แล้วเราเองในฐานะพ่อแม่ล่ะ มองอนาคตพวกเขาไว้อย่างไรกับโอกาสครั้งนี้

 

อ้างอิง

 

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS