William Sidis ชายที่ฉลาดมากที่สุดในโลก…แต่ไม่มีใครจดจำ

A A
Dec 8, 2023
Dec 8, 2023
A A

 

William James Sidis

ชายที่ฉลาดมากที่สุดในโลก…แต่ไม่มีใครจดจำ

 

คุณคิดว่า “ความเป็นอัจฉริยะ” มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่า?

 

   หลายครั้งเรามักจะได้ยินเรื่องราวของเด็กที่มีไอคิวเกิน 140 ขึ้นไป เพราะเด็กที่มีไอคิวอยู่ในระดับนี้ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มของคน “อัจฉริยะ” และทุกครั้งที่มีการวัดผล พบว่าเด็กกลุ่มนี้จะเกิดเป็นความสนใจจากคนจำนวนมาก

   ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1920 ลูวิส เทอร์แมน นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ผู้บุกเบิกการทดสอบไอคิว เขาเชื่อว่าผลการทดสอบนี้จะเป็นตัวบ่งบอกความเป็นอัจฉริยภาพภายในตัวของเด็กได้

   ลูวิส ได้ทำการทดลองตามติดวิถีชีวิตของเด็กในแคลิฟอร์เนียกว่า 1,500 คน โดยเป็นเด็กที่มีไอคิวสูงกว่า 140 แต่ผลการทดลองพบว่า มีเด็กอัจฉริยะอยู่จำนวนหนึ่งที่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยต่อไม่ไหว ซึ่งทำให้ลูอิสพบว่า ความเป็นอัจฉริยะมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและลึกกว่าที่เขาคิด

 

การเป็นอัจฉริยะไม่ได้มาพร้อมกับเด็กแรกเกิดเสมอไป

 

   David Galenson นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ พบว่าความเป็นอัจฉริยะไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็นตอนอายุน้อยเท่านั้น แต่ความเป็นอัจฉริยะอาจจะถูกแสดงให้เห็นได้ในช่วงอายุกลางคน หรืออายุที่กำลังเข้าใกล้ 50 ปี ดังนั้น เราจึงสามารถจำแนกอัจฉริยะได้ 2 ประเภทด้วยกัน 

 

 

เด็กที่แสดงความ “ฉลาด” ตั้งแต่อายุยังน้อย

 

   หลายคนอาจจะคิดว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นคนที่มีไอคิวมากที่สุดในโลก เพราะเขามีไอคิวถึง 205-225 แต่เราขอย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของเด็กผู้ชายที่ชื่อว่า William James Sidis คนที่ถูกนิยามว่า “เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในจักรวาล” ความสามารถของ William James Sidis คือ อ่านภาษารัสเซียได้ในวัย 1 ขวบ อ่านภาษาอังกฤษได้ในวัย 3 ขวบ และต่อมาเขาอ่านภาษาในโลกได้มากถึง 200 ภาษา และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ตอนอายุได้ 11 ขวบ เด็กคนนี้ได้กลายเป็นผู้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในโลก และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่นั่นด้วยวัยเพียง 16 ปี หลังจากนั้นในปีต่อมา ก็เข้าศึกษาต่อที่ Harvard Law School

 

 

William James Sidis

ชื่อภาพ : William James Sidis

 

 

ทำไมถึงไม่มีคนจดจำชื่อของ William James Sidis ในฐานะคนที่ฉลาดที่สุดในจักรวาล

 

   เพราะหลังจากที่ William James Sidis จบการศึกษา Law School ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นบุคคลที่ไม่แสวงหาความรู้ แถมไม่ยอมทำงาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อแม่กดดันเขามากเกินไปจนทำให้ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ทำให้ความเป็นอัจฉริยะของเขาหยุดลงที่อายุ 17 ปี เท่านั้น โดยที่ไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาให้โลกได้จดจำอีก เฉกเช่นที่ Albert Einstein ได้ทำเอาไว้นั่นเอง

 

   ส่วนประเภทที่ 2 คนที่เปิดเผยความเป็นอัจฉริยะออกมาในวัยกลางคน คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่เผยความเป็นอัจฉริยะออกมาในวัยเด็ก อาจเป็นเพราะว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ถูกปิดกั้นทางความคิดสร้างสรรค์จากกรอบแนวคิดบางอย่างไว้ อย่างเช่น เรื่องราวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในวัยเด็กเขามีผลการเรียนที่ย่ำแย่ และยังมีความผิดปกติในการอ่านและเขียนอีกด้วย ซึ่งเป็นลักษณะอาการของเด็กที่เป็นโรค Dyslexia หรือ โรคที่มีความบกพร่องทางการอ่านและการเขียน แต่สุดท้ายเขาก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คนทั่วโลกต่างรู้จัก หรือแม้แต่ชาร์ลส์ ดาร์วิน ในวัยเด็กเขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มของเด็กไม่เก่ง แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา เขาได้กลายเป็นนักธรรมชาติวิทยา นักธรณีวิทยา และนักชีววิทยา ที่เสนอทฤษฎีซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ โดยกลุ่มคนที่เป็นอัจฉริยะประเภทที่ 2 อาจจะถูกป้อนข้อมูลบางอย่างที่ทำให้ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ในสมอง จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการปะติดปะต่อความคิด ผ่านการลองผิดลองถูก และกระบวนการสังเกตและวิเคราะห์ ส่งผลให้ความเป็นอัจฉริยะในตัวของคนกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาสักระยะ จนกว่าจะเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาก็ถึงวัยกลางคนแล้ว

 

   เรื่องนี้เราจึงสรุปได้ว่า ความเป็นอัจฉริยะจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง และความเป็นอัจฉริยะไม่ได้เป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิต ซึ่งสิ่งที่จะกำหนดทิศทางความเป็นอัจฉริยะได้นั่นก็คือ การฝึกฝนเรียนรู้ในแบบที่เหมาะกับตัวเองต่างหาก

Share

Tag

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS