Black Myth : Wukong พระ วานร สุกร ปีศาจ
การเดินทางครั้งใหม่ของวัฒนธรรม จิตวิทยา และธรรมะ
คำว่า “ไซอิ๋ว” มีพื้นที่ไหนความทรงจำของเราแบบไหนกันบ้าง
ถ้าถามคุณปู่คุณย่าที่ผ่านชีวิตช่วงข้าวยากมากหมากแพงมา มันคือ วรรณกรรมขวัญใจที่ดอกหญ้าและบูรพาสาสน์ขายจนเกลี้ยงแผง
ลองถามพี่ ๆ น้า ๆ ที่ได้ทันใช้ชีวิตช่วงน้ำมันลิตรละ 8 บาท เขาจะชื่นชมการแสดงสุดกวนของ จางเหว่ยเจี้ยน ซีรีส์ฮ่องกงชุดศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า
แล้วเรื่องนี้อาจจะทำให้ความทรงจำของใครหลายคน Flashback กลับมาไม่น้อย ย้อนนึกถึงสมัยนั่งอยู่หน้าจอทีวีทรงตู้ปลา กับขนมช็อกโกแลตเหรียญทองในมือ ที่รู้สึกสงสารปนหมั่นไส้ทุกครั้งที่หงอคงโดนรัดเกล้าบีบหัว ลุ้นตัวเกร็งว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นองค์หญิงพัดเหล็กโชว์เอาพัดออกมาจากปาก เป็นความแฟนตาซีในวัยเด็กที่ดูเอาสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไร
แต่เชื่อไหม ? เรื่องนี้กลับน่าสนใจขึ้นไปอีก ถ้าเราย้อนกลับไปดูไซอิ๋วอีกครั้ง ในวันที่เราค่อยๆเติบโตขึ้น สั่งสมประการณ์ชีวิตมากขึ้น ได้ทะเลาะกับเพื่อนที่ลืมซื้อฟิวเจอร์บอร์ดมาทำโครงงาน จนมาถึงวันที่เราเริ่มปวดหลัง หรือพูดง่าย ๆ คือ “แก่ขึ้น”
เราจะพบว่า มี Easter Eggs ปริศนาธรรมมากมายที่ซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่คอยทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนมุมมองความสนุกของเราทีละเล็กทีละน้อย เรื่องราวความแฟนตาซีที่ยังเร้าใจเหมือนเดิมที่เพิ่มเติด้วยนิยามบางอย่างที่ทำให้เรา เข้าใจชีวิตมากขึ้น
ไซอิ๋ว เป็นวรรณกรรมที่ว่าด้วยการเดินทางของพระถังซัมจั๋งไปยังชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกตามคำสั่งของจักรพรรดิถังไท่จง
ซึ่งต้องเดินทางไกลและเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต่าง ๆ ตลอดการเดินทางคณะของพระถังต้องเผชิญหน้ากับปีศาจ เทพ และอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นปีศาจวัวกระทิง องค์หญิงพัดเหล็ก ปีศาจแมงป่อง บางปีศาจต้องการขัดขวางพระถังในการอัญเชิญพระไตรปิฎกเพราะต้องการกินเนื้อของพระถังเพื่อที่จะมีชีวิตอมตะ ในขณะเดียวกัน กลุ่มศิษย์ของพระถังทั้งซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาว ก็ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องพระอาจารย์และบรรลุภารกิจศักดิ์สิทธิ์นี้
ในเรื่องตัวละครที่เป็นผู้อัญเชิญพระไตรปิฏก คือ “พระถังซัมจั๋ง” มีความหมายว่า ตะกร้า 3 ใบ หรือก็คือพระไตรปิฏกนั่นเอง โดยบทบาทในเรื่องนั้นท่านมักจะเป็นผู้ถูกปีศาจล่อลวงไปหลายครั้ง จึงมีการตีความว่า พระถังซัมจั๋งเปรียบเสมือน “ศรัทธา” ที่ถูกอุปสรรคต่างๆ ทดสอบล่อลวง และภารกิจของท่านก็ประดุจการแสวงหานิพพานและการชำระตนให้บริสุทธิ์
ในการเดินทางพระถังซัมจั๋ง มีสาวกติดตามไปด้วยสามคนหรือตน ตนแรกคือ ลิงวิเศษที่ชื่อว่า “ซุนหงอคง” (ซึ่ง หงอคง หรือ อู้คง แปลว่า ตื่นรู้ในความว่าง) ซุนหงอคงเป็นตัวละครที่มีอิทธิฤทธิ์มากจนเป็นที่จดจำของหลายๆ คน จึงมีการเปรียบว่าหงอคงเปรียบเสมือนปัญญาที่เป็นสิ่งที่มีอำนาจมาก แต่ถ้าไร้การควบคุมก็จะสร้างความเสียหายได้มากเช่นกัน ดังนั้นในเรื่องจึงมีมงคลมารัดหัวไว้ ซึ่งสิ่งนั้นเป็นตัวแทนของ “สติ” ที่ต้องใช้ควบคุมปัญญานั่นเอง ส่วนบางงานวิเคราะห์ก็เปรียบว่าหงอคงเหมือนกับจิตใจ ซึ่งเป็นได้ทั้งจิตใจที่อยู่ไม่สุขต้องมีการกำกับด้วยวินัยและการปลูกฝัง หรือจะเป็นจิตใจที่พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ และพัฒนาได้ก็ได้เหมือนกัน จริงอยู่ที่หงอคงซนจนขโมยเสาค้ำยันคาบสมุทรตงไห่และเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นกระบองวิเศษที่สามารถจัดการปีศาจได้ตลอด แต่หากเรามองดี ๆ กระบองนั้นจะกลายเป็นตัวแทนของปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดจะปัญหา พระยูไลจึงประทานมงคลมารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน “สติ” ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา นอกจากนี้ภารกิจของหงอคงในเรื่องก็เปรียบได้กับคนที่ในช่วงแรกอาจมีการต่อต้านแข็งขืน ก่อนที่จะมีการบ่มเพาะปัญญาและความเห็นอกเห็นใจ จนกลายเป็นหลุดพ้นจากอัตตาและการยึดติด
“ตือโป้ยก่าย” ตัวแทนของศีล เดิมทีตัวเขาเองเป็นแม่ทัพผู้หล่อเหล่ามากที่สุดในสวรรค์ แต่ครั้งหนึ่งเคยเมาแล้วไปลวนลามเทพธิดาองค์สำคัญ จึงถูกส่งมาลงโทษในโลกมนุษย์ และแม้อยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อไถ่โทษ แต่ตือโป้ยก่ายก็ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ เรียกได้ว่าในภารกิจครั้งนี้ตือโป้ยก่ายจะต้องฝึกฝนตนเองให้ตัวเองมีคุณสมบัติเหมือนกับชื่อตัวเองก็ไม่ผิด และยังเป็นการสอนว่าศีลจำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาอยู่เสมอไม่ให้หลุด ในอีกแง่หนึ่งตือโป้ยก่ายก็อาจเปรียบได้กับร่างกายของมนุษย์และความพึงพอใจไปกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 และจำเป็นต้องมีการพัฒนาทางจิตวิญญาณเพื่อเอาชนะจุดอ่อนในจิตใจตนเองให้ได้ อย่างไรก็ตามมีบทเรียนที่น่าสนใจคือในตอนท้ายเรื่องที่พระถังซัมจั๋งและสาวกคนอื่นๆ บรรลุธรรมแล้ว แต่ตือโป้ยก่ายกลับได้เป็นเพียง “ผู้ทำความสะอาดแท่นบูชา” เท่านั้น เป็นการสอนว่าหากยังยึดติดกับทางโลกก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้นั่นเอง
“ซัวเจ๋ง” สาวกคนสุดท้ายที่อดีตเคยเป็นเทวดาที่ถูกลงโทษมาเป็นปีศาจปลาเช่นกัน มีการตีความว่าซัวเจ๋งเป็นสัญลักษณ์ของสมาธิ และยังแสดงถึงความสามารถของมนุษย์ในการกลับตัวกลับใจได้เช่นเดียวกับซัวเจ๋งที่เคยเป็นปีศาจกินคน แต่เมื่อได้ฟังธรรมะจากพระถังซัมจั๋งแล้วก็กลับใจมาช่วยทำภารกิจนี้ เช่นเดียวกับการปลดปล่อยตัวเองจากความไม่รู้ (โมหะ) และความทุกข์
เมื่อรวมกันการเดินทางของพระถังซัมจั๋งกับสาวกทั้งสามจึงมีการเปรียบว่าเหมือนการเดินทางไปสู่นิพพาน ซึ่งในการไปนั้นจะใช้เพียงศรัทธา ปัญญา ศีลหรือสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องใช้ทั้งหมดมารวมกันนั่นเอง
แต่บางครั้งปีศาจหรือ ‘กิเลส’ บางตัวก็เก่งเหลือเกิน
ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วยเพราะเจ้าแม่กวนอิมเปรียบเสมือน ‘ความเมตตา’
เมื่อปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวางนั่นเอง
สัจธรรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ ไซอิ๋ว ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 4 วรรณกรรมขึ้นหิ้งระดับตำนานของแผ่นดินจีน ร่วมกับ สามก๊ก ความฝันในหอแดง และวีรบุรุษเขาเหลียงซาน มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่า ทำไมไซอิ๋วถึงติด 1 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมจีนเลยเหรอ เนื้อหาแนวแฟนตาซีที่ดูไม่มีอะไรซับซ้อน ทำไมถึงกลายเป็นตำนานไปได้ มีการรีเมคมาแล้วมากกว่ายี่สิบครั้ง จนกระทั่งการมาถึงของ Black Myth : Wukong เกมกระแสแรงแห่งปีที่ถ่ายทอดเรื่องราวทางสัจจธรรมของศาสนาผ่านภารกิจของวานรนักแหกกฎสวรรค์
Black Myth : Wukong
จะเป็นเรื่องราว หลังจากที่คณะเดินทางของพระถังซำจั๋งอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมาจากชมพูทวีปสำเร็จแล้ว ซุนวูคองหรือว่าซุนหงอคงที่ผ่านประสบการณ์มากมายได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์ก็ทำให้เขาเข้าสู่สถานะบรรลุธรรม แต่ทว่าตัวเอกกลับปฏิเสธชีวิตที่เป็นอมตะ เลือกกลับไปอยู่ร่วมกับเหล่าพี่น้องวานรที่หุบเขาฮัวกั่วซานบ้านเกิด อย่างไงก็ตามด้วยความหวั่นเกรงพลังอำนาจของซุนหงอคง ทำให้เหล่าเซียนจากสวรรค์ไม่อาจปล่อยให้วานอนทรงอิทธิฤทธิ์ตัวนี้ได้อยู่อย่างสงบสุข เพราะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าซุนหงอกคงจะเป็นภัยอันตรายในอนาคตหรือไม่ เง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์จึงส่งคู่ปรับเก่าอย่าง ‘เอ้อหลางเสิน’เทพเจ้า 3 ตา ผู้เป็นเทพใหญ่แห่งสวรรค์ นำกองกำลังทหารเซียนนับพันคนมายัง บุกเขาฮัวกั่วซานเพื่อนำตัวซุนหงอคงขึ้นไปคุมขังบนสวรรค์ ซึ่งจริงๆแล้วตัวซุนหงอคงเอง เข้าใจเจตนารมณ์เหล่านี้ดี แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือการบุกครั้งนี้กองทัพสวรรค์ได้ลงมือสังหารพี่น้องวานรแทบหมดหุบเขาเพียงเพื่อจะจับตัวราชาวานรเพียงแค่ตนเดียว ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้นำพาโทสะให้บังเกิดขึ้นจนเกิดการต่อสู้ดวลกันอีกครั้งของเอ้อหลางเสิน และ ซุนหงอคง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดไม่แพ้ครั้งไหน ๆ แต่ด้วยพลังที่เหนือกว่าก็ทำให้ฝั่งกองทัพสวรรค์รวมพลังการโจมตีซุนหงอคงแทนที่จะเป็นการดวลกันแบบตัวต่อตัว เมื่อเห็นแบบนั้นซุนหงอคงจึงท้าให้เอ้อหลางเสินตามไปสู้ที่ป่าด้านล่างแบบตัวต่อตัวอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่รัดเกล้าของพระโพธิสัตว์โกนอิมที่พระถังซำจังเคยสวมให้ก็ปรากฏบนศีรษะ พลังของซุนหงอถูกสะกดไว้ในทันที เปิดโอกาสให้เอ้อหลางเสินเอาชนะและผนึกราชาวานรลงได้ในที่สุด
แต่ด้วยความฉลาดของซุนหงอคง ก่อนถูกผนึกเป็นก้อนหิน เขาได้ทำการแยกชิ้นส่วนวิญญาณออกเป็น 6 ส่วนกระจายไปตามมณฑลต่าง ๆ เวลาล่วงเลยไปอีกหลายร้อยปี เรื่องราวของซุนหงอคงได้กลายเป็นตำนานที่เล่าต่อกันในหมู่มวลวานรรุ่นสู่รุ่น บนความเชื่อว่าถ้าสามารถรวบรวมเศษชิ้นส่วนวิญญาณทั้ง 6 กลับมาได้ ราชาวานรซุนหงอคงจะคืนชีพกลับมา ซึ่งภายในเกมจะเรียกชิ้นส่วนทั้ง 6 นี้ว่า The Six Sense of The Great sage ซึ่งก็เป็นตัวแทนของอายตนะทั้ง 6 อย่าง ที่เกิดสัมผัสการรับรู้ผ่านตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ซึ่งก็จะสอดคล้องกับแง่คิดที่ได้จากนวนิยายไซอิ๋วต้นฉบับนั่นเอง โดยผู้เล่นเกมนี้จะได้รับบทเป็นวานรแห่งโชคชะตา ‘Destined One’ ที่อาสาออกเดินทางตามหาชิ้นส่วนทั้ง 6 ซึ่งเป็นการเดินทาง ณ จุดเริ่มต้นของ Black Myth : Wukong นั่นเอง
จีวรกับ ปริศนาธรรมไซอิ๋วที่ว่าด้วย อุปาทาน
ในช่วงแรกของเกมจะเป็นการสานต่อตำนานเกี่ยวกับเจ้าอาวาสผู้หลงไหลการสะสมจีวรจากวรรณกรรมไซอิ๋วครับที่ชื่อว่า ‘Elder Jinchi‘ จะปรากกฎในรูปลักษณ์หลวงจีนหัวโตร่างทอง โดยเรื่องราวในวรรณกรรม พระถังซัมจั๋งและเหล่าศิษย์ เดินทางมาถึงวัดจินฉือหรือวัดจีวรทองคำ ที่มีเจ้าอาวาส พระชินฉี ซึ่งมีความหลงใหลในการสะสมจีวรสวยงามและมีค่า วัดนี้เต็มไปด้วยสมบัติและเครื่องประดับทางศาสนา ซึ่งขัดแย้งกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายและปล่อยวางจากทรัพย์สินทางโลก เมื่อพระชินฉีเห็น จีวรแพรไหม ของพระถังซัมจั๋งที่ได้รับจากองค์จักรพรรดิถังไท่จง ก็เกิดความอยากได้เป็นอย่างมาก พระชินฉีจึงวางแผนจะยึดจีวรนี้เป็นของตนเอง โดยให้ความช่วยเหลือคณะพระถังในขั้นต้น แต่ตั้งใจจะเผาพระถังและศิษย์ทิ้งในยามกลางคืน
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง ปริศนาธรรม ‘อุปาทาน’ ของการหลงยึดติดในทรัพย์สินและความอยากได้ พระชินฉีเป็นพระที่มีตำแหน่งสูงในทางศาสนา แต่จิตใจกลับถูกครอบงำด้วยความโลภในสิ่งของที่เป็นวัตถุ พระชินฉีเห็นจีวรของพระถังเป็นเพียงเครื่องประดับแห่งเกียรติยศ โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณและธรรมะที่จีวรนั้นเป็นตัวแทน
ซึ่งตามบริบทของ Black Myth: Wukong แต่ละภารกิจผู้เล่นไม่เพียงแต่ได้สัมผัสกับความท้าทายทางกายภาพของตัวละครเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในจิตใจของซุนหงอคงด้วย ความหยิ่งทะนง ความโกรธ และความปรารถนาในอำนาจ ล้วนเป็นอุปสรรคที่ซุนหงอคงต้องเอาชนะ ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคน
ในวันที่ผู้พัฒนาเกมกำลังต้องการปลดแอกให้กับ “ซุนหงอคง” ซึ่งนี่อาจจะเป็นสารลับที่ทีมผู้พัฒนาเกม Black Myth : Wu Kong ต้องการส่งสารถึงผู้เล่นทั่วโลกว่า
‘ถึงเวลาแล้วที่เทพวานรตนนี้จะได้เป็นอิสระเสียที’
ในท้ายที่สุด การเชื่อมโยงระหว่าง ไซอิ๋ว และ Black Myth: Wukong ได้ทำให้เราตระหนักอะไรบางอย่างถึงความเป็นอมตะของวรรณกรรมคลาสสิกและความหมายของมันที่สามารถถูกตีความใหม่ได้ตลอดเวลา เกมนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่าง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิทยา ที่สามารถสะท้อนให้เราเห็นถึงธรรมะและปรัชญาที่ซ่อนอยู่ในวรรณกรรม
ขอบคุณข้อมูล
https://www.globaltimes.cn/page/202408/1318301.shtml
https://fextralife.com/the-mythical-origins-of-black-myth-wukong/
https://www.asianstudies.org/publications/eaa/archives/journey-to-the-west/