ว่ายน้ำทักษะสำคัญ (ไม่เฉพาะ) หน้าร้อน

A A
Apr 3, 2023
Apr 3, 2023
A A

ว่ายน้ำทักษะสำคัญ (ไม่เฉพาะ) หน้าร้อน

 

  • ผู้คนมักเชื่อว่า ตัวเองว่ายน้ำเก่งกว่าที่เป็นจริง แต่คนที่บอกว่า ว่ายน้ำได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทักษะพื้นฐานทั้ง 5 ที่จะช่วยให้เอาตัวรอดได้เมื่ออยู่ในน้ำ
  • เด็กอายุน้อยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จมน้ำมากที่สุด การเรียนว่ายน้ำสามารถลดความเสี่ยงของการจมน้ำในเด็กอายุ 1-4 ปี ได้88% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะจมน้ำในสระมากที่สุด
  • แม้เราจะมักคิดว่า การว่ายน้ำมักจะมาคู่กับฤดูร้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีคำแนะนำให้ว่ายน้ำตลอดทั้งปี เพราะจะเกิดประโยชน์ในระยะยาวได้มากกว่า

 

หน้าร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง และเราก็มักจะคิดว่า ฤดูนี้นี่แหละที่เด็ก ๆ ควรจะฝึกฝนทักษะว่ายน้ำอย่างจริงจัง จริงอยู่ที่อัตราการเสียชีวิตของเด็กจากการจมน้ำในฤดูร้อนมักจะสูงกว่าฤดูอื่น เนื่องจากตรงกับช่วงปิดเทอม แต่จริง ๆ แล้วการว่ายน้ำควรจะเป็นกิจกรรมที่เด็กทำได้ตลอดทั้งปี เพราะในระยะยาวแล้วมันให้ประโยชน์ต่อตัวเด็กได้มากกว่า ถ้าลูกหลานของเรายังว่ายน้ำไม่เป็นด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป เช่น บ้านไม่ได้อยู่ใกล้น้ำ หรือคิดว่าเขายังเด็กเกินไป มาดูกันว่า ทำไมเราไม่ควรรีรอที่จะฝึกฝนทักษะนี้ให้กับเด็ก ๆ

สำหรับผู้ใหญ่เองถ้าถามว่า เราประเมินทักษะการว่ายน้ำของตัวเองไว้กี่คะแนน หลายคนที่พอจะว่ายน้ำได้ อาจตอบว่า น่าจะเอาตัวรอดได้ แต่ผลการสำรวจระดับประเทศในอเมริกาที่จัดทำโดยสภากาชาดเมื่อปี 2020 เปิดเผยว่า ผู้คนเชื่อว่า ตนเองว่ายน้ำเก่งกว่าที่เป็นจริง โดยชาวอเมริกันร้อยละ 85 ที่บอกว่า ตัวเองว่ายน้ำได้ มีเพียงร้อยละ 56 เท่านั้นที่มีทักษะพื้นฐานทั้งห้า หรือที่เรียกว่าความสามารถทางน้ำที่จะช่วยให้พวกเขาปลอดภัยเมื่ออยู่ในน้ำ

 

กลุ่มเสี่ยงจมน้ำ คือ เด็กเล็กที่ว่ายน้ำไม่เป็น

 

สำหรับเด็ก ๆ แล้ว โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จมน้ำมากที่สุด โดยข้อมูลจาก Dr. Ruth Brenner และเพื่อนร่วมงานของเธอที่สถาบันสุขภาพและการพัฒนาเด็กแห่งชาติในปี 2009 ระบุว่า การเรียนว่ายน้ำสามารถลดความเสี่ยงของการจมน้ำในเด็กอายุ 1-4 ปี ได้ถึง 88% ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำในสระมากที่สุด เพราะการเรียนว่ายน้ำจะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการว่ายน้ำ และรู้สึกสบายกับการอยู่ในน้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การว่ายน้ำเป็นเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า เด็กคนนั้นจะไม่จมน้ำ เพราะการลดความเสี่ยงยังประกอบไปด้วยการป้องกันอีกหลายวิธี ซึ่งการเรียนว่ายน้ำเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการป้องกันเท่านั้น ฉะนั้น ผู้ปกครองต้องรู้ว่า เราไม่สามารถพึ่งพาวิธีการใดวิธีการหนึ่งได้เพื่อทำให้เด็กปลอดภัย แต่ต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น เสื้อชูชีพ หรือมีรั้วที่สระว่ายน้ำ รวมถึงการเรียนว่ายน้ำจากครูสอนที่เป็นมืออาชีพ

ในบ้านเรานั้นข้อมูลจากกรมควบคุมโรคพบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 2561-2565 พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในช่วงฤดูร้อน ซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอมตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม จำนวน 953 ราย เฉลี่ยวันละ 2 ราย โดยเดือนเมษายนพบเด็กจมน้ำมากที่สุดถึง 65 ราย รองลงมาคือเดือนมีนาคม 64 ราย และเดือนพฤษภาคม 63 ราย กลุ่มอายุที่มักจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในช่วง 4-14 ปี เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 2.2 เท่า โดยเด็กมักจะจมน้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติมากที่สุด 76.5% เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย 11.1% ทะเล 5.3% ภาชนะภายในบ้าน 3.5% สระว่ายน้ำ สวนน้ำ 1.8% สาเหตุหลักเกิดจากการเล่นน้ำ รวมถึงมีการพลัดตกและลื่น แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ขาดการดูแลจากผู้ปกครอง และขาดความรู้เรื่องแหล่งน้ำเสี่ยงอันตราย

 

5 ทักษะจำเป็นเพื่อเอาชีวิตรอดในน้ำ

 

การเรียนว่ายน้ำมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเอาชีวิตให้รอด ฉะนั้น เด็กจะต้องรู้พื้นฐานการลอยตัวและสามารถหายใจได้นานขึ้น ในสถานการณ์ฉุกเฉินคนที่มีทักษะนี้จะสามารถหายใจได้แบบไม่ยากลำบาก และตะโกนขอความช่วยเหลือหากไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างปลอดภัย หรือพักเก็บแรงไว้จนกว่าจะว่ายน้ำต่อไปได้

  1. การลอยตัวในน้ำ หรือลอยตัวในแนวดิ่ง
    การลอยตัวเป็นทักษะแรกที่ควรฝึกฝน เนื่องจากทำให้เราอยู่เหนือน้ำได้เป็นเวลานานและยังใช้พลังงานน้อย จึงช่วยให้เราได้พักก่อนที่จะว่ายต่อ หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
  2. การลงและขึ้นจากสระอย่างปลอดภัยโดยใช้ผนัง
    เรามักจะกระโดดหรือตกลงไปในน้ำเมื่อไม่มีบันไดให้ขึ้นจากสระ แต่หากเรารู้วิธีขึ้นลงจากสระโดยไม่ต้องใช้บันไดจะช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น
  3. การขึ้นสู่พื้นผิวน้ำ
    เรียนรู้ที่จะลงไปอยู่ในน้ำที่มีระดับสูงกว่าหัวและกลับสู่ผิวน้ำได้
  4. การพลิกตัว
    การรู้วิธีพลิกตัวและลอยตัวได้อย่างอิสระจะช่วยให้เราได้พักและหายใจในกรณีที่ตกลงไปในน้ำ หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหนื่อยมาก
  5. ว่ายน้ำ 25 หลา (22.86 เมตร) ไปยังจุดที่ปลอดภัย
    หากสามารถว่ายน้ำได้ระยะทางดังกล่าวจะช่วยให้เราสามารถว่ายไปยังผนังที่ใกล้ที่สุด หรือหากอยู่ในทะเลก็ยังสามารถว่ายจนมาถึงฝั่ง หรือไต่ขึ้นมาจากน้ำเพื่อพัก และขอความช่วยเหลือได้

 

 

ว่ายน้ำ

อายุเท่าไรเริ่มเรียนว่ายน้ำได้

 

สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกาแนะนำให้เด็กเริ่มเรียนว่ายน้ำเมื่ออายุประมาณ 1 ปี เพื่อลดความเสี่ยงในการจมน้ำ เพราะยิ่งเด็กรู้สึกสบายกับการอยู่ในน้ำได้มากเท่าไร โอกาสที่จะจมน้ำก็น้อยลงเท่านั้น ส่วนในบ้านเรานั้น นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำให้เด็กอายุอย่างน้อย 6 ปีขึ้นไปควรได้เรียนว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด

 

เมื่อทักษะว่ายน้ำ คือ ทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เด็กรอดชีวิตจากเหตุไม่คาดฝันทางน้ำได้ หน่วยงานหลายภาคส่วนจึงได้จัดหลักสูตรอบรมว่ายน้ำขึ้น เช่น สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) ได้จัดกิจกรรมอบรมกีฬาว่ายน้ำระดับพื้นฐานในศูนย์กีฬา 5 แห่งของกทม. โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนอายุระหว่าง 5-18 ปี 

 

นอกจากนี้ สำนักการศึกษา (สนศ.) ยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมพัฒนาหลักสูตรความปลอดภัยทางน้ำ เพื่อใช้จัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 

  1. นักเรียนป. 1-2 เรียนรู้ความเสี่ยงและการประเมินแหล่งน้ำ การใช้ชูชีพ และการช่วยเหลือคนตกน้ำ (ตะโกน โยน ยื่น) โดยโรงเรียนที่มีสระว่ายน้ำจะมีการเรียนการสอนทักษะการลอยตัวและการเคลื่อนที่ในน้ำ 
  2. นักเรียนป. 3-5 เรียนรู้ความเสี่ยงและการประเมินแหล่งน้ำ การใช้ชูชีพ และการช่วยเหลือคนตกน้ำ ทักษะการลอยตัว และการเคลื่อนที่ในน้ำ โดยมีการประเมินให้ได้มาตรฐานทางหลักวิชาการ ได้แก่ ลอยตัวได้ 3 นาที เคลื่อนที่ทางน้ำ 15 เมตร และทักษะว่ายน้ำในรูปแบบต่าง ๆ 
  3. นักเรียนป. 6 เรียนรู้การช่วยชีวิตเบื้องต้นด้วยการฝึกปฏิบัติจริงทุกคน โดยมีทีมวิทยากรมืออาชีพที่ได้รับรองหลักสูตรการช่วยชีวิตเป็นผู้ให้ความรู้

 

ทำไมการว่ายน้ำถึงควรเป็นกิจกรรมที่ทำตลอดทั้งปี

 

แม้ว่าเราจะติดภาพว่า การว่ายน้ำมักจะมาคู่กับฤดูร้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีคำแนะนำให้ว่ายน้ำตลอดทั้งปี เพราะจะเกิดประโยชน์ในระยะยาวได้มากกว่า 

  1. เป็นกีฬาที่ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ในบ้านเราอาจจะพอนึกภาพคนไปว่ายน้ำตลอดปีได้อยู่ แต่ในประเทศที่มีอากาศหนาวจัด การมัวรอฤดูร้อนอาจทำให้เด็ก ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือออกมาทำกิจกรรมอื่น ๆ มากนัก สระว่ายน้ำในร่มที่มีอุณหภูมิพอเหมาะจึงเป็นทางออกสำหรับประเทศเหล่านี้

  1. ช่วยให้อารมณ์ดี

การว่ายน้ำมีลักษณะของการทำอะไรซ้ำ ๆ จึงสร้างความรู้สึกปล่อยวาง คล้าย ๆ กับได้กดปุ่มพักชั่วคราว แล้วลืมความกังวลไปชั่วขณะ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมาก พลังงานที่ใช้ไปและการแช่อยู่ในน้ำจะกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสาร Endorphin ที่สร้างความรู้สึกที่ดีและความสงบ หากเด็กว่ายน้ำหลังเลิกเรียน พวกเขาจะนอนหลับได้ดีขึ้นและสดชื่นพร้อมที่จะเรียน 

  1. พัฒนาทักษะว่ายน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

เด็กที่ไม่ได้ว่ายน้ำมาระยะหนึ่งอาจลืมวิธีว่ายน้ำ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความกลัวน้ำอีกด้วย การว่ายน้ำตลอดทั้งปีจึงช่วยคงทักษะไว้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาฟื้นทักษะที่หายไป

  1. เสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ 

งานวิจัยหนึ่งพบว่าเด็กอายุ 3-5 ปี ที่ว่ายน้ำเป็นประจำจะมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะทักษะการออกเสียง การคำนวณ การอ่านและการเขียนดีกว่าเด็กที่ไม่ว่ายน้ำ

  1. เป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้

การเรียนว่ายน้ำต้องการเวลา การฝึกฝน ความพยายามและความต่อเนื่องเหมือนกับกิจกรรมอื่น หากผู้ปกครองคาดหวังว่า เด็กจะว่ายน้ำเป็นทันทีในช่วงที่พาไปเที่ยวหน้าร้อน มันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น หากมีแพลนพาไปเที่ยวทะเลหรือลงสระที่ไหนก็ควรพาไปเรียนว่ายน้ำล่วงหน้าเสียก่อน

หน้าร้อนนี้หากลูกหลานบ้านไหนที่อายุถึงเกณฑ์เรียนว่ายน้ำได้ และยังว่ายน้ำไม่เป็น ผู้ปกครองควรใช้โอกาสนี้รีบฝึกฝนทักษะว่ายน้ำให้กับเด็ก ๆ นอกจากจะเป็นกีฬาที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้านแล้ว ยังเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาดูแลตัวเองได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

อ้างอิง

https://ndpa.org/swim-lessons-are-not-just-for-summer/

https://britishswimschool.com/brampton/water-safety/survival-swimming

https://workpointtoday.com/aed01/

https://www.thaipr.net/general/3315069

https://bit.ly/3KrZBDS

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS