Systematic Thinking ช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร

A A
Oct 27, 2023
Oct 27, 2023
A A

 

Systematic Thinking ช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร

 

 

การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องไกลตัว

 

แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราสามารถมองเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ถ้าลองจินตนาการถึงการเติมน้ำใส่แก้วเพื่อแปรงฟัน คุณอาจจะคิดว่าก็คงไม่มีอะไร “ก็แค่เปิดก๊อกน้ำเติมน้ำใส่แก้ว” ดูเหมือนลำดับความคิดจะเป็นแบบเส้นตรง (Linear Thinking)

ในความเป็นจริงรูปแบบความคิดในสมองคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น ขณะที่คุณกำลังเติมน้ำนั้น สายตาคุณก็กำลังมองระดับน้ำในแก้วที่ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น สมองคุณก็เริ่มเปรียบเทียบระดับน้ำในแก้วกับระดับน้ำที่ต้องการ จากนั้นสมองคุณก็เริ่มสั่งการร่างกายให้มือขยับไปหมุนก็อกน้ำให้ค่อย ๆ ปิดลง จนปิดสนิทเมื่อระดับน้ำในแก้วขึ้นมาถึงระดับที่ต้องการจะเห็นว่ากระบวนการ “เติมน้ำใส่แก้ว” นั้น ก็เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ใช้การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking)

อะไรคือ “ความคิดเชิงระบบ”

การคิดเป็นระบบ หมายถึง การมองอย่างองค์รวม และคิดเชื่อมโยงครบทุกมิติที่อยู่ภายในระบบ ประกอบไปด้วย โครงสร้าง, กระบวนการ, กฎเกณฑ์, วัฒนธรรมประเพณี รวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆ 

การพัฒนาประเทศที่เกิดจาการคิดครบระบบจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ ยกตัวอย่างการสร้างชาติของสิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี กวน ยู ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถพัฒนาจากการเป็นประเทศด้อยพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในหนึ่งชั่วอายุคน

ปี 1965 สิงคโปร์ยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา มีรายได้ประชาชาติ (GNI) ต่อหัวที่ 516 ดอลลาร์ (ขณะที่ประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียง 140 ดอลลาร์ แต่ในปี 2013 สิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวสูงถึง 55,182 ดอลลาร์ แซงหน้าสหรัฐอเมริกา มากกว่ามาเลเซีย 5 เท่า และมากกว่าไทยเกือบ 10 เท่า สิงคโปร์มี GNI เพิ่มขึ้น 103 เท่า ส่วนประเทศไทยเพิ่มขึ้น 41 เท่า ในช่วงเวลา 50 ปี สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสิงคโปร์มีผู้นำ “คิดครบระบบ”

ในด้านคน เนื่องด้วยสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรใดๆ ลี กวน ยู จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน ผ่านการลงทุนด้านการศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งผลทำให้สิงคโปร์มีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูง และสถาบันการศึกษาของสิงคโปร์มีคุณภาพติดอันดับโลก

ในด้านระบบ ลี กวน ยู เชื่อว่า ถ้าเศรษฐกิจเจริญ สิ่งดีอื่นๆ จะตามมาเอง เช่น อาชญากรรมลดลง จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่ง หลักการที่สิงคโปร์ยึดมั่นและใช้เป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนา คือ หลักการของระบบทุนนิยมที่ดี ไม่ยอมให้มีระบบพรรคพวกนิยม (Cronyism) และมุ่งเน้นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ 

ส่วนระบบราชการเน้นความมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ ข้าราชการมีรายได้เทียบเท่าหรือมากกว่าเอกชน นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์มีรายได้ปีละ 56 ล้านบาท ขณะที่รัฐมนตรีมีรายได้ 28 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดคอร์รัปชั่น

ระบบสังคมเป็นอีกปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญในการสร้างชาติสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์มีความหลากหลายของเชื้อชาติและศาสนา ลี กวน ยู จึงให้น้ำหนักกับการพัฒนาสังคมเพื่อสร้างความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความมั่นคงของรัฐของสิงคโปร์ โดยออกแบบกติกาทางสังคม ผ่านนโยบาย ที่เรียกว่า “นโยบายสังคมพหุชาติพันธุ์” ซึ่งมีสาระสำคัญ 5 ประการ คือ

1. ชาติสำคัญกว่าชุมชน และสังคมสำคัญกว่าปัจเจกบุคคล เพื่อเชิดชูความเป็นชาติเหนือปัจเจกบุคคล
2. ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม ดังนั้นสถาบันครอบครัวจึงเป็นรากฐานที่แท้จริงของสังคม
3. การให้การสนับสนุน ช่วยเหลือกันในชุมชน และเคารพต่อปัจเจกบุคคล เป็นการสนับสนุนจารีตประเพณีที่ให้ผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่
4. การส่งเสริมฉันทามติแต่ไม่สร้างความขัดแย้ง แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจใดๆ ก็ตาม ควรเน้นการเห็นพ้องต้องกันมากกว่าการแข่งขันและการถกเถียงกัน
5. ส่งเสริมและประสานความกลมกลืนด้านเชื้อชาติและศาสนา เพื่อความสามัคคีระหว่างประชาชน

 

 

 

Systematic Thinking

ชื่อภาพ : Systematic Thinking

 

 

เนื่องจากสิงคโปร์มีภาษาราชการมากกว่า 1 ภาษา ไม่เพียงแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังมีภาษาจีนกลาง ภาษามาลายู และภาษาทมิฬด้วย เพราะรัฐบาลปรารถนาจะสร้างคนให้เป็นพลเมืองโลกที่เข้าได้กับความแตกต่างทางวัฒนธรรม หรือการกำหนดวันหยุดทุกวันสำคัญของศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม รวมถึงวันหยุดสำหรับธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมต่างๆ ด้วย

ในด้านบริบท สิงคโปร์พยายามสร้างบริบท เพื่อการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลายได้อย่างลงตัว ดังตัวอย่างย่านไชน่าทาวน์ที่มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนหลากเชื้อชาติและความเชื่อ เพราะในย่านนี้มีทั้งวัดฮินดู วัดพุทธ มัสยิด โดยทุกกลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไร้ปัญหาด้านเชื้อชาติและศาสนา อันเป็นชุมชนแบบ “พหุวัฒนธรรม” ที่แท้จริง

การคิดเป็นระบบ ย่อมส่งผลปลายทางที่ต่างกัน การคิดไม่รอบคอบ คิดอย่างไร้ระบบ ไม่ครบถ้วน จะทำให้ประเทศชาติเกิดวิกฤตได้ เพราะฉะนั้น การกำหนดนโยบายใด ๆ ก็ตามจำเป็นต้องคิดเป็นระบบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีแท้และยั่งยืน เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง โดยไม่ลืมเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และอุดมการณ์ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการลงมือทำงานหนัก แล้วความสำเร็จจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

ฉะนั้นระบบไม่จำเป็นต้องเป็นระบบทางกายภาพเสมอไป ทีมฟุตบอลก็เป็นระบบ ที่ประกอบด้วยนักกีฬา โค้ช สนาม และลูกบอล ที่เชื่อมโยงกันด้วยกติกา กลยุทธ์ของโค้ช การสื่อสารของผู้เล่น และกฏทางฟิสิกส์ที่ทำให้ทั้งลูกบอลและผู้เล่นเคลื่อนที่ไปได้ โดยมีเพื่อหมายในการออกกำลังกาย เพื่อสันทนาการ เพื่อชัยชนะ เพื่อสร้างรายได้ หรือหลายเป้าหมายรวมกัน

ถ้าเรายึดโมเดลการพัฒนาของสิงคโปร์เป็นต้นแบบ เราจะสามารถถอดสูตรความสำเร็จได้ว่า การคิดที่เป็นระบบจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านการทดลองลงมือทำด้วย ทำเพื่อให้เห็นว่าเหตุอย่างไรทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้ และคิดย้อนกลับได้ว่าผลลัพธ์แบบนี้เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้เด็กเผชิญความยากลำบากบ้าง หรือเรียนรู้การคิดแก้ปัญหา ถ้าเด็กไม่เคยมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาเล็กๆ มาก่อน โตขึ้นจะให้แก้ไขปัญหาใหญ่ๆ คงลำบาก เพราะไม่เคยมีระบบวิธีคิดในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเด็กพยายามแล้วแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องเข้าไปชี้แนะด้วย อย่าปล่อยให้เขาแก้ไขปัญหาจนท้อแท้และหมดกำลังใจ 

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS