Empathy ทักษะทรงพลังที่ไม่สามารถสอนกันได้

A A
Jun 24, 2024
Jun 24, 2024
A A

Empathy ทักษะทรงพลังที่ไม่สามารถสอนกันได้

 

 

   การเห็นอกเห็นใจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษยชาติ หากแต่เป็นทักษะที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พบ มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองขนาดเล็ก การอยู่รอดจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยและเอื้ออาทรต่อกัน รวมถึงการแบ่งปันทรัพยากรที่หายากให้แก่กัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจในระดับพื้นฐาน

   ต่อมาเมื่ออารยธรรมของมนุษย์พัฒนาขึ้น เราก็ได้พบหลักฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับ “ความเห็นใจเห็นอกเห็นใจ” จากปรัชญา ศาสนา และวรรณคดีโบราณของอารยธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิขงจื๊อในจีน พุทธศาสนา ศาสนาฮินดู รวมถึงปรัชญจากยุคกรีกโบราณ

   หนึ่งในหลักฐานที่สำคัญคือ คำสอนของพระพุทธเจ้าในมงคลสูตรที่ตรัสว่า “กตัญญูกตเวที” ซึ่งหมายถึงการรู้จักบุญคุณและตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ เป็นความประพฤติที่นำมาซึ่งความสุข อีกทั้งยังปรากฏในหลักธรรมทางพุทธศาสนาอีกหลายประการ เช่น พรหมวิหาร 4 ที่ว่าด้วยการเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

   ส่วนในศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ หลักคำสอนของนักบุญเปาโลก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของความเห็นอกเห็นใจไว้อย่างชัดเจนเช่นกัน โดยถือว่าเป็นคุณธรรมประจำใจที่ผู้เชื่อควรยึดถือปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวของนักปรัชญายุคกรีกโบราณหลายท่านที่สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ อาทิ “จงอย่าตัดสินผู้อื่นจนกว่าคุณจะได้เดินในรองเท้าของพวกเขา” ของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดีย “มาฮาตมะ คานธี”

   เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า Emphathy เป็นหนึ่งใน Soft Skills ที่ทรงพลังที่สุดมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล “ความเห็นอกเห็นใจ” เป็นทักษะที่ช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น มองโลกผ่านมุมมองที่แตกต่าง และเชื่อมโยงกับผู้คนรอบข้าง

   หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Empathy เป็นทักษะที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่สามารถสอนหรือฝึกฝนได้ แต่แท้จริงแล้ว Empathy เป็นทักษะที่พัฒนาได้ เหมือนกล้ามเนื้อที่ยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งแข็งแรงนั่นเอง

 

ถามว่า “Emphathy” คืออะไร ? ทำไมฟังแล้วดูนามธรรมจัง

 

   คำว่า “Empathy” อาจฟังดูนามธรรมและยากที่จะเข้าใจในนาทีแรก แต่จริงๆแล้วมันเป็นความสามารถที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเรามาก

   Empathy คือความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และเชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น มันไม่ได้หมายถึงแค่การรู้สึกเห็นใจ หรือสงสารผู้อื่นเท่านั้น แต่เป็นการสวมรองเท้าเข้าไปยืนในจุดยืนของคนอื่นอย่างแท้จริง พยายามมองสถานการณ์จากมุมมองของเขา เพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และความรู้สึกของเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

   ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเพื่อนของคุณเสียใจจากการสูญเสียคนรัก การแสดง Empathy ไม่ได้หมายถึงการบอกเพียงแค่ว่า “ฉันเสียใจด้วยนะ” แต่คุณต้องพยายามจินตนาการตัวเองในสถานการณ์เดียวกัน รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความว้าเหว่นั้น แล้วจึงตอบสนองด้วยคำพูดหรือการกระทำที่แสดงถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

   Empathy ฟังดูนามธรรมเพราะมันเกี่ยวข้องกับจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่วัดค่าได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือรากฐานสำคัญของการสร้างสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง การมี Empathy จะทำให้เราสื่อสารกันได้ดีขึ้น เข้าใจกันและกันมากขึ้น จึงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและมีความสุขมากขึ้น

 

 

Story Behind Empathy

 

 

เราสามารถเรียนรู้ Empathy ได้จากใครบ้าง ?

 

   เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) ผู้นำการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเชื้อชาติของประเทศแอฟริกาใต้ แมนเดลาเป็นผู้ที่มี Empathy รับฟังความทุกข์ทรมานของผู้คนที่ถูกกดขี่ และใช้แนวทางสันติวิธีในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้อภัยและการปรองดอง

   มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองของชาวแอฟริกันอเมริกันในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950-1960 มีวาทะสำคัญที่ว่า “ฉันฝันถึงวันที่ลูกหลานของทาส…และลูกหลานของนายทาส…จะได้นั่งลงด้วยกันที่โต๊ะอันเดียวกัน” แสดงให้เห็นถึง Empathy ที่ลึกซึ้ง

   มาลาลา ยูซัฟซาย (Malala Yousafzai) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิการศึกษาสตรีชาวปากีสถานที่เสี่ยงชีวิตจากการถูกโจมตีของกลุ่มตอลิบาน เธอมีEmpathy ต่อสถานการณ์ของเด็กหญิงที่ถูกปิดกั้นโอกาสทางการศึกษา จึงเป็นแรงผลักดันให้เธอต่อสู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานนี้

   เจ้าหญิงไดอานา (Princess Diana) เป็นที่ประจักษ์ในด้านความเห็นอกเห็นใจผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ติดเชื้อเอดส์ซึ่งในขณะนั้นยังมีการรังเกียจและตีตราจากสังคม แต่เจ้าหญิงไดอานากลับแสดง Empathy ด้วยการจับมือและสัมผัสกับผู้ป่วยโรคเอดส์

   บารัค โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา โอบามาประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำที่มี Empathy สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนจากทุกเชื้อชาติและชนชั้น นำมุมมองและประสบการณ์ของผู้คนมารวมเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลง

   บุคคลดังเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ Empathy ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสันติและการรวมพลังของผู้คนเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ด้วย Empathy พวกเขาสามารถเข้าถึงประสบการณ์ของผู้อื่น ทำความเข้าใจความทุกข์ยากและความต้องการของเพื่อนมนุษย์ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นำพามวลมนุษย์ก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

 

Emphathy สอนกันได้ไหม ?

 

   อย่างที่ยกตัวอย่างไปเราก็คงพอจะเห็นภาพรวมแล้วว่าทักษะด้านความเห็นอกเห็นใจมีรากฐานมาจากลักษณะนิสัยและคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งต้องถูกปลูกฝังและหล่อหลอมมาตั้งแต่วัยเด็ก บางคนอาจมีนิสัยละเอียดอ่อนและรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นได้ง่ายกว่า

   วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้และพัฒนา Empathy หรือความเข้าใจและเห็นใจผู้อื่นตามรอยคนดังเหล่านี้นั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนมุมมองภายในตนเองอย่างละเอียดลึกซึ้ง มิใช่เป็นแค่การซึมซับความรู้หรือทฤษฎี แต่ต้องนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงผ่านการเปิดใจและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

   สิ่งสำคัญที่ต้องยึดไว้คือ ความตั้งใจรับฟังและสังเกตอย่างลึกซึ้ง เมื่อเราพบเจอกับใคร เราต้องหยุดและมุ่งสมาธิไปที่บุคคลนั้นอย่างเต็มที่ สังเกตน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และสภาพแวดล้อมต่างๆ แล้วพยายามจินตนาการตนเองอยู่ในสภาวะและบริบทเดียวกันนั้น ซึมซับอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่แค่ฟังคำพูดอย่างเดียว การฝึกฝนสังเกตอย่างละเอียดลึกซึ้งและเปิดใจกับสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เรามี Empathy มากขึ้น

   งานวิจัยของ Harvard Graduate School of Education (2018) ศึกษาเด็กอายุ 4-5 ขวบจำนวน 240 คน โดยให้เด็กดูวิดีโอสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นอารมณ์ของตุ๊กตาต่างๆ หลังจากนั้นจึงให้เด็กระบุอารมณ์ของตุ๊กตา ผลปรากฏว่าเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแสดงออกถึงอารมณ์มากกว่า จะสามารถจำแนกอารมณ์ของตุ๊กตาได้ดีกว่า แสดงให้เห็นว่าการได้รับการปลูกฝังให้รับรู้และเข้าใจอารมณ์ตั้งแต่เด็กจะส่งเสริมทักษะ Empathy

   เช่นเดียวกับงานวิจัยจาก University of Calgary ในปี 2015 เปรียบเทียบความสามารถด้าน Empathy ของเด็กวัย 1.5-5 ปี โดยให้ดูวิดีโอนิทานเรื่อง “สุนัขจรจัด” ที่มีตัวละครหลักเป็นสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นจึงวัดระดับ Empathy ผ่านการสังเกตปฏิกิริยาของเด็ก พบว่าเด็กอายุน้อยกว่ามีระดับ Empathy ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่า Empathy เป็นทักษะที่เด็กสามารถพัฒนาได้ตามวัย

   แน่นอนว่าการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มี Empathy นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนตนเองและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีแนวโน้มที่จะมองโลกจากมุมมองของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งเรื่องประสบการณ์ ฐานะ เชื้อชาติ วัฒนธรรม เป็นต้น ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะวางมุมมองตนเองลง และพยายามมองโลกจากมุมมองที่กว้างขวางและหลากหลายกว่านั้น จึงจำเป็นต้องใช้ความพยายามและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ 

 

หากจะสรุปขมวดเรื่องราวทั้งหมด เราคงจะนิยามสั้น ๆ ได้ว่า

Emphathy ไม่ได้ทำให้เราเป็น ‘คนเก่งขึ้น’ แต่ทำให้เราเป็น ‘คนที่ดีขึ้น’ ต่างหาก

 

ขอบคุณข้อมูล

https://www.psychologytoday.com/intl/blog/the-couch/201810/can-empathy-be-taught

https://www.mentalhealthweek.ca/empathy-a-skill-you-can-learn/

https://www.diplomacy.edu/blog/mandela-giant-empathy/

https://medium.com/book-bites/how-empathy-ethnography-and-design-thinking-can-reshape-healthcare-1df3605847fd

https://www.psychologytoday.com/us/blog/empathy-emotion-and-experience/201911/the-surprising-history-empathy

Tag

Share

Tag

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS