แบนมือถือในห้องเรียน นโยบายสกัดเทคโนโลยี ลดสิ่งรบกวนการเรียนรู้

A A
Jul 27, 2023
Jul 27, 2023
A A

แบนมือถือในห้องเรียน

 นโยบายสกัดเทคโนโลยี ลดสิ่งรบกวนการเรียนรู้

 

  • หลายประเทศมีคำสั่งแบนมือถือในห้องเรียน เพื่อลดสิ่งรบกวนการเรียนรู้ของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา จีน
  • นโยบายนี้มีงานวิจัยออกมาหลายด้านถึงประโยชน์ในเรื่องผลการเรียนของนักเรียน และอัตราการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ขณะเดียวกันก็มีความกังวลถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เมื่อมือถือกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

 

นักเรียนของครูมีมือถือกันหรือเปล่า แล้วพวกเขาใช้มันในห้องเรียนไหม ไม่ว่าจะใช้หาข้อมูล ช่วยทำการบ้าน ส่งไลน์หาเพื่อน หรือใช้เพื่อความบันเทิงอื่น ๆ ก็ตาม มือถือดูเหมือนจะกลายเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคนยุคนี้ ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการประกาศห้ามนักเรียนใช้มือถือในโรงเรียน แม้จะฟังดูเป็นนโยบายที่ดูเด็ดขาดสำหรับบ้านเราที่ไม่ได้มีกฎข้อห้ามอะไรในเรื่องนี้ แต่ถ้าเราลองกูเกิ้ลดูจะพบว่า หลายประเทศก็มีการสั่งแบนมือถือในโรงเรียนเช่นเดียวกัน เพราะมีความกังวลว่า มือถือจะทำให้นักเรียนขาดสมาธิ และส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ขณะเดียวกันก็มีความเห็นอีกด้านว่า หรือจริง ๆ การแบนมือถืออาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะในโลกที่เราหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีได้ยาก การสอนให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะใช้มือถืออย่างพอเหมาะพอดีจะน่าจะเป็นผลดีต่อเขามากกว่าในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะคิดเห็นอย่างไร เราลองมาดูกันหน่อยว่า แนวคิดแบนมือถือในโรงเรียนเกิดขึ้นที่ประเทศไหนกันบ้าง

 

เนเธอร์แลนด์

ในปี 2024 ที่จะมาถึง เนเธอร์แลนด์จะกลายเป็นอีกประเทศที่มีคำสั่งห้ามใช้มือถือ รวมถึง tablet และ smartwatch ในห้องเรียน แม้การสั่งห้ามนี้จะไม่ได้มีผลในทางกฎหมาย แต่ในอนาคตการใช้มือถืออาจถูกยกให้มีผลในทางกฏหมายได้ แน่นอนว่า การสั่งห้ามนี้มีข้อยกเว้นบางอย่างสำหรับนักเรียนที่ต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ นักเรียนที่มีความพิการ และในชั้นเรียนที่สอนทักษะดิจิทัล

Robbert Dijkgraaf รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงสาเหตุการแบนมือถือว่า นักเรียนต้องมีสมาธิ และเราต้องสร้างโอกาสให้เขาเรียนรู้ได้ดี ซึ่งงานวิจัยจำนวนมากพบว่า มือถือรบกวนการเรียนรู้ของนักเรียน แต่หากเราจำกัดเวลาหน้าจอ นักเรียนจะมีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ และสมาธิที่ดีขึ้น

แม้ว่ารัฐบาลจะมีคำสั่งดังกล่าว แต่จริง ๆ แล้วก็ให้อิสระโรงเรียนแต่ละแห่งอยู่ว่า จะนำกฎนี้ไปใช้กับครู ผู้ปกครองและนักเรียนหรือไม่ และจะแบนมากน้อยแค่ไหนย่อมเป็นสิทธิ์ของโรงเรียน ซึ่งแนวคิดการสั่งแบนมือถือนี้เกิดจากข้อตกลงระหว่างกระทรวง โรงเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อสิ้นปีการศึกษา 2024 และ 2025 ก็จะมีการทบทวนคำสั่งนี้อีกครั้งว่า ได้ผลดีเพียงใด และจำเป็นต้องประกาศเป็นกฎหมายต่อไปหรือไม่

 

สหราชอาณาจักร

แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีกฎหมายแบนมือถือในห้องเรียนอย่างจริงจัง แต่โรงเรียนก็มีอำนาจที่จะสั่งห้ามไม่ให้ใช้มือถือได้ ข้อมูลจาก Teacher Tapp แอปที่ทำแบบสำรวจรายวันกับครูประมาณ 8,500 คน ระบุว่า โรงเรียนที่นี่ส่วนใหญ่มีนโยบายจำกัดการใช้มือถือในห้องเรียนอยู่แล้ว โดยครึ่งหนึ่งของโรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถมฯ ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ใช้มือถือในช่วงพักเบรกหรือพักเที่ยง นอกจากมือถือจะเบี่ยงความสนใจนักเรียนจากการจดจ่อในชั้นเรียนแล้ว มันยังทำให้นักเรียนออกกำลังกายน้อยลง และไม่ค่อยเล่นอะไรในแบบเก่า ๆ สักเท่าไร ที่น่ากลัวกว่า คือ มือถือยังเป็นบ่อเกิดของการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีการมองว่า แนวคิดการสั่งแบนอย่างเด็ดขาดไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อนักเรียนสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรนักเรียนก็นำมือถือเข้ามาในโรงเรียนแล้วซ่อนไว้ได้อยู่ดี สิ่งที่ควรทำน่าจะเป็นการเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกันโดยมีกฎ และเรียนรู้ที่จะใช้มือถือในเวลาและพื้นที่ที่กำหนดมากกว่า เมื่อโรงเรียนถูกออกแบบมาเพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับโลกแห่งความเป็นจริง เราจึงน่าจะส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะใช้โทรศัพท์อย่างสร้างสรรค์

 

 

เด็กใช้มือถือในห้องเรียน

ชื่อภาพ : เด็กใช้มือถือในห้องเรียน

 

 

 

ออสเตรเลีย

รัฐควีนส์แลนด์กลายเป็นรัฐล่าสุดของออสเตรเลียที่จะแบนการใช้มือถือในโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐอื่น ๆ ในออสเตรเลีย โดยจะมีผลบังคับใช้ในภาคเรียนที่ 1 ของปี 2024 ทำให้ปัจจุบันมีเพียงเขตเมืองหลวงออสเตรเลียเท่านั้นที่ยังไม่มีการแบนมือถือในโรงเรียน การสั่งห้ามในครั้งนี้จะมีผลกับโรงเรียนของรัฐทุกแห่ง รวมถึงการใช้ smartwatch และอุปกรณ์อื่น ๆ ในช่วงพักเบรกและพักเที่ยงอีกด้วย นักเรียนยังคงนำมือถือมาโรงเรียนได้อยู่ แต่ให้ใช้เพื่อติดต่อผู้ปกครองก่อนหรือหลังเวลาเลิกเรียนเท่านั้น

ปัจจุบันโรงเรียนรัฐบาลในรัฐควีนส์แลนด์ 95% มีนโยบายที่ชัดเจนห้ามนักเรียนใช้มือถือในเวลาเรียน แต่การเปลี่ยนแปลงในปีหน้าถือเป็นการสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ส่วน

โรงเรียนที่ไม่ใช่ของรัฐก็ถือเป็นสิทธิ์ของผู้อำนวยการในการตัดสินใจในเรื่องนี้

ย้อนกลับไปในปี 2020 รัฐบาลรัฐวิกตอเรียได้สั่งห้ามใช้มือถือในโรงเรียนเป็นครั้งแรกในออสเตรเลียในโรงเรียนประถมฯ และมัธยมฯ ของรัฐทุกแห่ง เพื่อลดสิ่งที่ทำให้นักเรียนเสียสมาธิ การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และเพื่อพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนด้วย

ขณะที่ Yvette Berry รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของเขตเมืองหลวงออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่เดียวที่ยังไม่มีการสั่งห้ามมือถือ เธอได้กล่าวเมื่อปี 2022 ว่า ยังไม่มีแผนที่จะห้ามใช้มือถืออย่างเด็ดขาด เพราะมองว่า การช่วยให้นักเรียนเข้าใจพฤติกรรมที่เหมาะสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ถือเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเรียนรู้ของนักเรียน และโรงเรียนของรัฐก็ใช้สมาร์ตโฟนเพื่อการศึกษาอยู่

 

ฟินแลนด์

เรารู้จักฟินแลนด์ในฐานะประเทศที่มีคะแนนสอบ PISA ที่โดดเด่นมาตลอด คะแนนสอบของฟินแลนด์อยู่ในจุดสูงสุดในปี 2006 แต่หลังจากนั้นคะแนนก็เริ่มตกลง ด้วยสาเหตุนี้เองรัฐบาลฝ่ายขวาชุดใหม่จึงวางแผนจะใช้มาตรการจัดการกับปัญหาเรื่องนี้ และสัญญาว่า จะให้เงินทุนสนับสนุนการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 200 ล้านยูโร เพื่อเสริมสร้างทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ แต่นอกจากแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว ฟินแลนด์ยังคิดว่า การห้ามใช้มือถือน่าจะเป็นอีกแนวทางที่ช่วยในเรื่องนี้ได้

เด็กที่นี่มีมือถือกันตั้งแต่อายุน้อยเมื่อเทียบกับที่อื่น เมื่อเข้าโรงเรียนหลายคนก็ใช้มือถือกันแล้ว ซึ่งไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร เพราะฟินแลนด์เป็นประเทศต้นกำเนิดมือถือ Nokia ที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตไปทั่วโลก แม้ครูจะกังวลถึงผลเสียของมือถือที่มีต่อความสนใจและสมาธิของนักเรียน แต่กฎระเบียบที่มีอยู่ก็ไม่ได้ให้อำนาจแก่โรงเรียนในการสั่งห้ามนักเรียนไม่ให้นำมือถือเข้ามาในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์นี้ก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ยังรอการอนุมัติจากรัฐสภา ผู้มีอำนาจดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชน เห็นได้จากประชาชนมีการรวบรวมลายเซ็นมากกว่า 30,000 ชื่อ เรียกร้องให้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เช่น ปิดมือถือระหว่างเรียนและช่วงพัก หรือห้ามใช้ในห้องเรียนโดยสิ้นเชิง

 

ฝรั่งเศส

นักเรียนฝรั่งเศสอายุระหว่าง 12-17 ปี มากกว่า 90% มีมือถือเป็นของตัวเอง ซึ่งพอ ๆ กับนักเรียนในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา กฎหมายที่นี่กำหนดว่า เด็กไม่สามารถใช้โทรศัพท์ภายในบริเวณโรงเรียนได้ หรือในกิจกรรมของโรงเรียนที่จัดนอกโรงเรียน เช่น การแข่งขันกีฬาหรือไปเดย์ทริป แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับการสอนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งการสั่งแบนมือถือในโรงเรียนทุกแห่งมีมาตั้งแต่ปี 2018 แต่การควบคุมให้มีประสิทธิภาพกลับเป็นเรื่องยาก นักเรียนมีการต่อต้านคำสั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ครูสอนภาษาหลายคนก็ให้นักเรียนใช้มือถือเป็นพจนานุกรม ครูวิชาอื่นก็ให้นักเรียนใช้ค้นหาข้อมูลบางอย่าง

 

สหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันโรงเรียนแต่ละแห่งของสหรัฐฯ จะเป็นผู้กำหนดเองว่า จะมีการห้ามนักเรียนใช้มือถือหรือไม่ แต่เนื่องสหรัฐฯ จากมีเหตุกราดยิงในโรงเรียนบ่อยครั้ง ผู้ปกครองจึงค่อนข้างเป็นห่วง และอยากติดต่อกับบุตรหลานของตัวเอง นี่จึงกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การห้ามใช้มือถือของโรงเรียนในนิวยอร์กถูกยกเลิกไปในปี 2015

 

จีน

นักเรียนจีนไม่สามารถนำมือถือไปโรงเรียนได้ หากไม่มีเอกสารยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง นี่เป็นคำสั่งที่ประกาศโดยกระทรวงศึกษาธิการของที่นี่

เมื่อหลายประเทศออกมาแบนมือถือในห้องเรียนโดยมีความชื่อคล้าย ๆ กันว่า 

จะช่วยให้นักเรียนมีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น และน่าจะช่วยลดการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ลงได้ แต่พอมาดูหลักฐานจากวิจัยในประเด็นเหล่านี้กลับพบข้อมูลหลากหลายกันไป บ้างก็ว่าไม่ได้มีการยืนยันในเรื่องนี้อย่างมากพอ บ้างก็บอกว่าช่วยได้จริง อย่างการศึกษาของนอร์เวย์และสเปนในปี 2022 ที่บอกว่า การแบนมือถือช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้น และมีการกลั่นแกล้งลดลง แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตในการศึกษาของสเปนว่า มีการให้นักเรียนใช้มือถือในโรงเรียนเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา นักวิจัยระบุว่า นี่อาจเป็นสาเหตุของคะแนนที่เพิ่มขึ้น ส่วนการศึกษาของสวีเดนในปี 2020 พบว่า การแบนมือถือมีประโยชน์เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีผลเสียใด ๆ ต่อนักเรียน

นอกจากนี้ งานวิจัยของ London School of Economics ก็เป็นไปในทางเดียวกันว่า การใช้มือถืออย่างจำกัดในโรงเรียนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสำเร็จในการสอบ และยังรายงานว่า การจำกัดการใช้มือถือสามารถเป็นนโยบายต้นทุนต่ำ เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาได้

แม้บ้านเราจะยังไม่มีการใช้นโยบายนี้ในโรงเรียน แต่สิ่งที่ประเทศเหล่านี้ฝากไว้ให้ได้คิดหากในอนาคตเรามีนโยบายแบบนี้ขึ้นมาจริง ๆ คือ การฟังเสียงจากหลายฝ่าย ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้อำนวยการและครูว่า แนวทางไหนคือแนวทางที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นักเรียนคือคนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง เราไม่สามารถมองข้ามพวกเขาได้ และยังมีคำถามสำคัญอีกหลายประเด็นที่เราต้องตอบให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเทคโนโลยี ทำอย่างไรให้การสั่งแบนมือถือไม่ทำให้เด็ก ๆ ขาดทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ การทำงาน และการใช้ชีวิตในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 

 

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/world-europe-66107027

https://www.bbc.com/news/technology-56663010

https://www.dailymail.co.uk/news/article-12272973/Mobile-phone-ban-schools-Australia-need-know.html

https://www.euractiv.com/section/politics/news/finland-to-ban-mobile-phones-in-schools/ 

https://theconversation.com/school-phone-bans-seem-obvious-but-could-make-it-harder-for-kids-to-use-tech-in-healthy-ways-204111 

https://www.sbs.com.au/news/article/im-not-as-addicted-when-phones-were-taken-away-at-these-high-schools-bullying-rates-dropped/pj8g7bxcc

https://www.abc.net.au/news/2023-07-07/phones-banned-in-queensland-state-schools/102573822

https://cne.news/article/2268-mobile-phones-have-not-disappeared-from-french-school-despite-ban

https://www.forbes.com/sites/alexledsom/2019/08/30/the-mobile-phone-ban-in-french-schools-one-year-on-would-it-work-elsewhere/

 

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS