Nomophobia โรงเรียนต้องรับมืออย่างไร เมื่อเด็ก ๆ เข้าสู่วัย “ติดมือถือ”

A A
Jun 26, 2024
Jun 26, 2024
A A

NOMOPHOBIA โรงเรียนต้องรับมืออย่างไร เมื่อเด็ก ๆ เข้าสู่วัย “ติดมือถือ”

 

 

   การแพร่หลายของสมาร์ทโฟนในกลุ่มวัยรุ่นไทยเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2550-2555 เราจะเห็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวัยรุ่นไทยอย่างชัดเจน

   ในช่วงก่อนปี 2550 โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังเป็นรุ่นพื้นฐานที่ใช้งานได้เพียงโทรออกและรับสาย ส่ง SMS และเล่นเกมง่ายๆ เท่านั้น แม้จะมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้บ้าง แต่ก็ยังมีราคาสูงและไม่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

   จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มขึ้นเมื่อ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2550 แม้ว่าจะยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยทันที แต่ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นและความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ติดตามเทคโนโลยี ตามมาด้วยการเปิดตัวของสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ในปี 2551 ซึ่งเริ่มทำให้สมาร์ทโฟนมีความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น

   ในช่วงเวลานี้เอง ที่เราเริ่มเห็นปรากฏการณ์ “ก้มหน้า” ในที่สาธารณะมากขึ้น วัยรุ่นเริ่มใช้เวลากับสมาร์ทโฟนมากขึ้นแม้ในขณะอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัว และเริ่มมีการพูดถึงผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปในสังคมไทย

   ซึ่งปัจจุบันที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกลกว่าที่เราเคยจินตนาการ โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่น ที่เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาของสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชันต่างๆ แต่ท่ามกลางความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ก็แฝงไปด้วยความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือ “Nomophobia” หรือ “ความกลัวการไม่มีโทรศัพท์มือถือ” ปรากฏการณ์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมของเยาวชนทั่วโลก

   Nomophobia เป็นคำย่อมาจาก “No Mobile Phone Phobia” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกกังวล หวาดกลัว หรือไม่สบายใจอย่างรุนแรง เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะแบตเตอรี่หมด สัญญาณขัดข้อง หรือลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน อาการนี้อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับผู้ที่ประสบปัญหานี้ โดยเฉพาะวัยรุ่น มันสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ

   การศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัย King’s College London เผยว่า 23% ของวัยรุ่นอายุระหว่าง 12-15 ปี มีพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนในระดับที่เข้าข่ายการเสพติด โดยพวกเขาใช้เวลากับหน้าจอมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน นี่เป็นเพียงตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหา Nomophobia ที่กำลังแพร่กระจายในหมู่เยาวชน

   ปรากฏการณ์ Nomophobia หรือความกลัวการไม่มีโทรศัพท์มือถือในวัยรุ่นไทยมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับวัยรุ่นในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เราจะเห็นทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่น่าสนใจ

   ในด้านความคล้ายคลึง วัยรุ่นไทยเช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่วโลกที่พึ่งพาโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวัน ทั้งเพื่อการสื่อสาร ความบันเทิง และการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ลักษณะเฉพาะของสังคมไทยได้ส่งผลให้ Nomophobia ในวัยรุ่นไทยมีมิติที่แตกต่างออกไปในบางแง่มุม

   หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือโครงสร้างครอบครัวไทยที่มักมีความใกล้ชิดและการควบคุมดูแลจากผู้ปกครองค่อนข้างสูง โทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่สำคัญของวัยรุ่นไทยในการแสดงออกและค้นหาตัวตน การขาดโทรศัพท์มือถืออาจทำให้รู้สึกสูญเสียอิสรภาพและพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าวัยรุ่นในสังคมตะวันตกที่อาจมีอิสระในการใช้ชีวิตมากกว่า

   นอกจากนี้ วัฒนธรรมการใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ โดยเฉพาะการใช้แอปพลิเคชันอย่าง LINE ที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเพื่อน แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการติดต่อกับครอบครัว ครู และแม้แต่การทำธุรกรรมต่างๆ การไม่มีโทรศัพท์มือถือจึงอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของวัยรุ่นไทยมากกว่าในบางประเทศ

   ระบบการศึกษาไทยที่เน้นการแข่งขันสูงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อ Nomophobia ในวัยรุ่นไทย โทรศัพท์มือถือไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ แต่ยังเป็นช่องทางในการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการสอบ ทุนการศึกษา และโอกาสทางการศึกษาต่างๆ ความกลัวที่จะพลาดโอกาสเหล่านี้อาจรุนแรงกว่าในประเทศที่ระบบการศึกษามีความยืดหยุ่นมากกว่า

   วัฒนธรรมการให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมในสังคมไทยก็มีส่วนทำให้ Nomophobia ในวัยรุ่นไทยมีลักษณะเฉพาะ การแสดงสถานะทางสังคมผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอินในสถานที่ที่มีชื่อเสียง การโพสต์รูปกับสินค้าแบรนด์เนม หรือการแสดงความสำเร็จในด้านต่างๆ อาจมีความสำคัญมากกว่าในสังคมที่ให้คุณค่ากับความเป็นส่วนตัวมากกว่า

 

 

Story Behind Nomophobia

 

 

ทำไมวัยรุ่นถึงตกเป็นเหยื่อของ Nomophobia ได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น?

 

    คำตอบอยู่ที่พัฒนาการทางสมองและสังคม วัยรุ่นเป็นช่วงวัยแห่งการค้นหาตัวตน การสร้างความสัมพันธ์ และการแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนฝูง โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันต่างๆ ในสมาร์ทโฟนตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา ได้รับข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์ และมีพื้นที่แสดงออกซึ่งความคิดและตัวตน

   นอกจากนี้ สมองของวัยรุ่นยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาระบบควบคุมอารมณ์และการยับยั้งชั่งใจ ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นกับกิจกรรมที่ให้ความพึงพอใจในทันที เช่น การเล่นเกม การแชทกับเพื่อน หรือการเสพคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย โดยขาดการคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว

   ผลการวิจัยจากวารสาร Journal of Computer-Mediated Communication ชี้ให้เห็นว่า การใช้สมาร์ทโฟนอย่างหนักหน่วงในวัยรุ่นมีความเชื่อมโยงกับระดับความเครียดที่สูงขึ้น คุณภาพการนอนที่ลดลง และประสิทธิภาพในการเรียนที่ถดถอย นอกจากนี้ ยังพบว่าวัยรุ่นที่มีอาการ Nomophobia มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล มากกว่ากลุ่มที่ใช้สมาร์ทโฟนในระดับปกติถึง 2 เท่า

   แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะมืดมนไปเสียทีเดียว การตระหนักรู้ถึงปัญหา Nomophobia เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการแก้ไขและป้องกัน ผู้ปกครอง ครู และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกำลังร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือวัยรุ่นให้สร้างความสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง

   หนึ่งในวิธีการที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพคือการส่งเสริม “Digital Detox” หรือการถอนพิษดิจิทัล โดยการกำหนดช่วงเวลาที่ปลอดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ช่วงก่อนนอน หรือระหว่างมื้ออาหาร การศึกษาจาก University of Illinois พบว่า วัยรุ่นที่เข้าร่วมโปรแกรม Digital Detox เป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีระดับความเครียดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีความสามารถในการจดจ่อกับงานที่ทำดีขึ้น

   นอกจากนี้ การส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้หน้าจอ เช่น การออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก หรือการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนในชีวิตจริง ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดการพึ่งพาสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงเรียนหลายแห่งในประเทศฝรั่งเศสได้ริเริ่มโครงการ “Phone-Free Friday” ที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันโดยไม่ใช้โทรศัพท์มือถือตลอดทั้งวันศุกร์ ผลลัพธ์ที่ได้คือนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ความขัดแย้งในชั้นเรียนลดลง และมีสมาธิในการเรียนดีขึ้น

   อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหา Nomophobia ไม่ใช่การปฏิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างชาญฉลาดและมีวินัย การศึกษาจาก Stanford University แสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นที่ได้รับการสอนทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) มีแนวโน้มที่จะใช้สมาร์ทโฟนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถแยกแยะระหว่างการใช้งานที่จำเป็นและการใช้งานที่เกินความจำเป็นได้ดีกว่า

   ในฐานะผู้ใหญ่ เราต้องตระหนักว่าการห้ามใช้สมาร์ทโฟนโดยเด็ดขาดไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน แต่เราควรสอนให้วัยรุ่นเข้าใจถึงผลกระทบของการใช้งานที่มากเกินไป และแนะนำวิธีการใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล การสื่อสารแบบเปิดกว้างและการเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้สมาร์ทโฟนของผู้ปกครองเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

   นอกจากนี้ การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการต่อสู้กับ Nomophobia บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ “Digital Wellbeing” ในระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามและจำกัดเวลาการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันอิสระอีกมากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ลดการพึ่งพาสมาร์ทโฟน เช่น Forest ที่ใช้แนวคิดการปลูกต้นไม้เสมือนเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้อยู่ห่างจากหน้าจอ

   การวิจัยจาก University of San Diego พบว่า วัยรุ่นที่ใช้แอปพลิเคชันควบคุมการใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นเวลา 3 เดือน มีระดับความพึงพอใจในชีวิตที่สูงขึ้น และมีอาการของ Nomophobia ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทางออกได้ หากเราใช้มันอย่างชาญฉลาด

   ในขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษาก็มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับ Nomophobia โรงเรียนหลายแห่งในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้สมาร์ทโฟนในวัยรุ่นสูงที่สุดในโลก ได้นำร่องโครงการ “Smart-Free School” โดยจัดให้มีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ไม่ใช้สมาร์ทโฟน เช่น การเล่นกีฬา การทำงานฝีมือ หรือการเรียนดนตรี ผลลัพธ์เบื้องต้นแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีทักษะทางสังคมที่ดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น และมีความสุขในการเรียนมากขึ้น

   การศึกษาจาก Seoul National University ยังพบว่า โรงเรียนที่มีนโยบายจำกัดการใช้สมาร์ทโฟนในชั้นเรียนอย่างเข้มงวด มีผลการเรียนของนักเรียนที่ดีขึ้นโดยเฉลี่ย 6.4% เมื่อเทียบกับโรงเรียนที่ไม่มีนโยบายดังกล่าว นี่เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าการจัดการกับ Nomophobia ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการศึกษาด้วย

   ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ได้บรรจุวิชา “การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล” เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรภาคบังคับตั้งแต่ระดับประถมศึกษา โดยมุ่งเน้นการสอนให้เด็กและเยาวชนเข้าใจทั้งประโยชน์และโทษของเทคโนโลยี รวมถึงวิธีการใช้งานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาล่าสุดจาก University of Helsinki พบว่า นักเรียนที่ผ่านหลักสูตรนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหา Nomophobia น้อยกว่ากลุ่มควบคุมถึง 30%

   ในขณะเดียวกัน การวิจัยและพัฒนาด้านประสาทวิทยาศาสตร์ก็กำลังเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการเข้าใจและรับมือกับ Nomophobia นักวิจัยจาก MIT Media Lab ได้พัฒนาเทคโนโลยี “Neuro-Feedback” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นการทำงานของสมองแบบเรียลไทม์ขณะใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยให้พวกเขาตระหนักถึงผลกระทบของการใช้งานที่มากเกินไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผลการทดลองเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถลดเวลาการใช้สมาร์ทโฟนลงได้โดยเฉลี่ย 20% หลังจากได้รับข้อมูล Neuro-Feedback เป็นเวลา 1 เดือน

   แม้ว่า Nomophobia จะเป็นความท้าทายที่สำคัญของยุคดิจิทัล แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีในการทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการที่เราใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ที่จะใช้สมาร์ทโฟนอย่างมีสติและสมดุลไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบด้านลบเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย

   สำหรับวัยรุ่น การเข้าใจและจัดการกับ Nomophobia อาจเป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาทักษะการควบคุมตนเองและการจัดการเวลา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะติดตัวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ การเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์จะช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากโลกดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ตกเป็นทาสของมัน

   ในท้ายที่สุด การรับมือกับ Nomophobia ไม่ใช่เรื่องของการปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างชาญฉลาด เราต้องตระหนักว่าสมาร์ทโฟนเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิต การสร้างความสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริง การพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้าง และการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับกิจกรรมที่สร้างความสุขและความหมายให้กับชีวิต คือกุญแจสำคัญในการก้าวข้ามความท้าทายนี้

 

ขอบคุณข้อมูล

https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0747563222002266

https://daily254headlines.news.blog/2023/11/27/the-digital-dilemma-nomophobia-and-its-impact-on-gen-z/

https://www.cnbc.com/2023/09/02/nomophobia-the-anxiety-you-feel-without-your-cell-phone-has-a-name.html

https://www.forbes.com/sites/traversmark/2023/12/24/a-psychologist-describes-a-new-phobia-on-the-rise-nomophobia/

Share

Tag

Share

Authors

Authors

RELATED POSTS